Tuesday, October 8, 2013

20 ปี 14 ตุลา (ตอนที่ 2): วิวาทะเรื่องชนชั้นกลางคืออะไร


หมายเหตุ บทความนี้ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยไฟแนนเชี่ยล ฉบับวันที่ ๑๙ ต.. ๒๕๓๖

“การดำรงอยู่ทางชนชั้นไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าชนชั้นนั้นๆต้องมีการปฏิบัติการณ์ในรูปเดียวกันหรืออยู่ภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน”

             ๒๐ปี ๑๔ ตุลา (ตอนที่๒): วิวาทะเรื่องชนชั้นกลางคืออะไร
                        บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์

         นักเรียนนักศึกษาและประชาชนร่วมแสนที่เดินขบวนไปชุมนุมกันบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในช่วงวันที่   ๑๓  ตุลาคม  ๒๕๑๖ เพื่อรอคำตอบจากรัฐบาลจอมพลถนอมให้ปล่อยตัวคณะผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญ๑๓คนที่ถูกตำรวจจับตัวไว้และให้รัฐบาลเร่งรัดการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จก่อนเดือนตุลาปี ๒๕๑๗ คนเหล่านี้เป็นใครกัน? อยู่ร่วมชนชั้นเดียวกันใช่ไหม? ใช่หรือไม่ที่พวกเขาคือชนชั้นกลาง? ยิ่งกว่านั้นคำว่า "ชนชั้นกลาง" เป็นคำที่มีความหมายหรือไม่? ชนชั้นกลางคืออะไร?
         เช่นเดียวกันคนร่วมแสนที่ชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวงก่อนจะเคลื่อนตัวไปตามถนนราชดำเนินผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจนไปถูกหยุดด้วยตำรวจที่บริเวณเชิงสะพานผ่านฟ้าในตอนค่ำของคืนวันที่ ๑๗  พฤษภาคม ๒๕๓๕ พวกเขาเป็นใครกัน? ใช่กลุ่มชนที่มีการเรียกขานกันว่า "ชนชั้นกลาง" ใช่หรือไม่? ชนชั้นกลางคืออะไร?
         ในร่างเอกสาร "ข้อเสนอจัดงานเฉลิมฉลอง ๒๐ ปี ๑๔ ตุลาคม" ของคณะผู้ประสานงานฯ ดังกล่าวในหน้าแรกได้เขียนถึงกรณีเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาไว้ว่า "เป็นครั้งแรกที่ประชาชนไทย   อันมีเยาวชนนักเรียนนิสิตนักศึกษาเป็นหัวหอก  สามารถโค่นล้มระบอบเผด็จการทหารของกลุ่มจอมพลถนอม กิตติขจร-จอมพลประภาส จารุเสถียร อันทรงพลัง ซึ่งไม่เพียงทำให้การเมืองไทยในช่วง ๓ ปีต่อมาเป็นประชาธิปไตยค่อนข้างสมบูรณ์เท่านั้น   หากเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมแบบแบ่งยุคแบ่งสมัยอีกครั้งหนึ่งอีกด้วย  กล่าวคือ  เปิดทางให้กับการเคลื่อนไหวรักชาติรักประชาธิปไตยอย่างขนานใหญ่ ประชาชนชั้นล่างและคนชั้นกลางขึ้นสู่เวทีการเมืองระดับชาติ..."   นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการเรียกขานสถานภาพทางสังคมของกลุ่มคนที่เข้าใจกันว่ามีบทบาททางสังคมที่สำคัญในปัจจุบัน  เมื่อเร็วๆนี้เองศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมูลนิธิฟรีดริช เอแบรทได้จัดพิมพ์หนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งมีชื่อว่า "ชนชั้นกลางบนกระแสประชาธิปไตย" (กรุงเทพ: ศูนย์หนังสือจุฬาฯ, ๒๕๓๖)   อันเป็นหนังสือรวมบทความนักวิชาการไทยชื่อดังเช่น นิธิเอียวศรีวงศ์  ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ เป็นต้น นักวิชาการเหล่านี้เขียนถึงอะไร?
         "และแน่นอนทีเดียว ชนชั้นใดเขียนประวัติศาสตร์ก็จะพูดถึงความยิ่งใหญ่ของชนชั้นเขา  ผลก็คือทฤษฎีชนชั้นกลางได้อุบัติขึ้นอ้างว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาตั้งแต่  ๒๔๗๕  ถึง ๑๔ ตุลา ถึง ๑๗- ๒๐ พฤษภาคม  ก็คือการต่อสู้ของชนชั้นกลาง  ทฤษฎีนี้ได้ดึงเอาชนชั้นกลางกับประชาธิปไตยมาควบคู่กัน  ทำให้ดูราวกับว่าชนชั้นนี้ได้นำมาซึ่งประชาธิปไตยทั้งในอดีตและจะสร้างสรรค์ประชาธิปไตยในอนาคต" (ยุค  ศรีอาริยะ, "จาก  ๑๔  ตุลา  ถึง  ๑๗- ๒๐ พฤษภาคม  บทวิจารณ์ทฤษฎีชนชั้นกลาง" จดหมายข่าวครป., ปีที่ ๑  ฉบับที่ ๘  มิ..-.., ๒๕๓๖, หน้า ๒๒)   นี่คือท่อนหนึ่งจากข้อเขียนของอดีต (?) มาร์กซิสต์ไทยที่ได้เขียนขึ้นเพื่อวิจารณ์การใช้ทฤษฎีชนชั้นกลางในการวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทางการเมืองสมัยใหม่ของสังคมไทย เราจะมองข้ามความไม่ระวังของยุค ศรีอาริยะที่ยืนยันการมีอยู่ของชนชั้นกลางไว้เองโดยไม่ตั้งใจในข้อความที่ยกมาข้างต้น   และเราจะมาใส่ใจในส่วนที่ยุคเขียนในทำนองว่า การที่ชนชั้นกลางเป็นผู้ผลักดันประวัติศาสตร์ในช่วงดังกล่าวเป็นเพราะว่าคนเขียนประวัติศาสตร์นั้นเป็นพวกปัญญาชน"กลุ่มคนที่เขาคิดว่าเขาคือสมาชิกของชนชั้นกลาง"   ดังนั้นประวัติศาสตร์แบบนี้จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่ให้ความสำคัญอยู่ที่บทบาทของชนชั้นกลาง โดยที่ตั้งใจ
กำหนดให้ชนชั้นกลางกับประชาธิปไตยเป็นของคู่กัน   ซึ่งสิ่งที่ยุคต้องการชี้ก็คือ  นี่คือมายาภาพ!
         ข้าพเจ้าจะแสดงให้เห็นว่า เรากล่าวถึงชนชั้นกลางในฐานะที่เป็นชนชั้นหนึ่งได้อย่างมีความหมาย   หากเรากล่าวถึงมโนทัศน์ "ชนชั้น" อย่างมีความหมายได้   ในการถกเถียงตรงประเด็นนี้จะมีการตีความทฤษฎีที่เสนอในเรื่องนี้บางทฤษฎีที่ยุคเองมีการอ้างเอามาใช้วิจารณ์ผู้อื่น ได้แก่ทฤษฎีชนชั้นของปูลองซ่า[1] (Nicos Poulantzas- ซึ่งยุค ศรีอาริยะ
สะกดชื่อสกุลผิดโดยไปเขียนว่า Pouluntzus ถึง ๕ ครั้งในบทความเท่าที่มีปรากฏชื่อปูลองซ่า จึงไม่น่าจะเป็นความผิดพลาดอันเกิดจากคนเรียงพิมพ์พิมพ์ผิดเป็นแน่)
         ไม่เพียงเท่านั้น เรายังกล่าวได้ด้วยว่าชนชั้นกลางมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองยุคใหม่ของสังคมไทย  โดยพิจารณาผ่านเหตุการณ์  ๑๔ ตุลา มาจนถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ  และจะตอบคำถามที่นักวิชาการไทยส่วนหนึ่งมักถามแล้วไม่ตอบคือคำถามที่ว่า "ทหารไทยอยู่ในชนชั้นไหน?"
         ที่สำคัญกว่าก็คือ ความเข้าใจที่ได้ทั้งหมดนี้จะช่วยชี้ทางบางหนทางให้กับสังคมไทยได้หรือไม่ และได้อย่างไiบ้าง(ตรงนี้ก็คือคำตอบว่าทำไมเราจึงมาให้เวลาอภิปรายกันตรงประเด็นนี้) ส่วนผลพลอยได้อื่นๆได้แก่ การแสดงให้เห็นว่านักประวัติศาสตร์อย่างเช่นนิธิ เอียวศรีวงศ์ ผิดพลาดอย่างไรในเรื่องนี้ตรงพื้นฐานที่สุด  แนววิเคราะห์สังคมแบบของ น.. ประเวศ วะสี  ทำไมเราจึงกล่าวได้ว่าเป็นแนววิเคราะห์สังคมแบบ "เด็กๆ" และไม่อาจนำทางสังคมไทยได้

ชนชั้นกับอำนาจ
         "กล่าวโดยสั้นๆ  ความสัมพันธ์ทางอำนาจไม่ก่อรูปเป็นองค์รวมหน่วยที่แสดงตนออกมาให้เห็นในแบบเรียบง่าย   ไม่มากเกินไปกว่าที่โครงสร้างหรือการปฏิบัติการณ์ได้ก่อรูปออกมา  ทว่าความสัมพันธ์แบบนี้จักเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและเป็นความสัมพันธ์ที่เคลื่อนไปจากที่และถูกกำหนดในท้ายที่สุดจากอำนาจทางเศรษฐกิจ อำนาจทางการเมืองหรือทางอุดมการณ์ไม่ใช่การแสดงตัวออกมาอย่างเรียบง่ายของอำนาจทางเศรษฐกิจ  เราอาจยกตัวอย่างมาได้มากมายในกรณีของชนชั้นหนึ่งใดซึ่งครอบงำทางเศรษฐกิจแต่ไม่ครอบงำทางการเมือง หรือครอบงำทางอุดมการณ์แต่ไม่ครอบงำทางเศรษฐกิจหรือทางการเมือง    ชนชั้นหนึ่งใดอาจจักมีศักยภาพที่จะตระหนักถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (ปัญหาของลัทธิสหภาพแรงงานแต่ไร้ศักยภาพที่จะตระหนักรู้ผลประโยชน์ทางการเมือง   ชนชั้นหนึ่งใดอาจจักมีอำนาจทาง
เศรษฐกิจโดยไม่มีอำนาจทางการเมืองมา 'ตรงต้องกันหรือกระทั่งอาจมีอำนาจทางการเมืองโดยไร้ซึ่งอำนาจทางอุดมการณ์ที่มา 'ตรงต้องกัน'ก็ได้" (Nicos  Poulantzas, "Class Power" ,p.152)
         จากข้อความที่ยกมาสรุปได้ (เขียนใหม่ให้อ่านง่ายขึ้นเพื่อหน่วยงานความมั่นคงของไทยจะได้อ่านได้รู้เรื่อง ข้าพเจ้าเห็นใจท่านเหล่านี้เต็มประดา ด้วยเหตุว่าเรื่องที่ต้องใช้กึํนมากหน่อย  พวกท่านเหล่านี้อาจรู้สึกว่าตนขาดอะไรไปที่จะใช้เป็นเครื่องช่วยทำความเข้าใจ    ดังที่มักแสดงด้วยพฤติกรรมให้เราได้เห็นว่าขาดไปจริงๆอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง) ว่าปูลองซ่าคิดว่า

 .แม้ว่าอำนาจทางเศรษฐกิจจะเป็นตัวกำหนดในท้ายที่สุดในแง่การแสดงตัวของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ     แต่จักไม่แสดงตัวออกมาแบบไม่ซับซ้อนหรือหาตำแหน่งแห่งที่ได้ง่ายๆ และถึงจะมีกรณีที่แสดงออกมาให้เห็นได้ง่ายก็ไม่ใช่กรณีของอำนาจทางการเมืองหรือทางอุดมการณ์

 .การที่ชนชั้นหนึ่งใดได้ครอบงำทางด้านใดด้านหนึ่งไม่จำเป็นต้องครอบงำได้ในทุกๆด้าน

         กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจแต่ไม่มีอำนาจทางการเมืองก็ได้   ดังกรณีเช่นกลุ่มพ่อค้าในเมืองไทยในสมัยอยุธยาหรือต้นรัตนโกสินทร์ (คำว่า 'พ่อค้า' กับคำว่า 'ชนชั้นกลาง' ไม่ใช่คำที่ใช้แทนที่กันได้    นิธิมีแนวโน้มเข้าใจประเด็นนี้ผิดดังที่มักแสดงความสับสนให้เราเห็นได้เมื่อกล่าวถึงวัฒนธรรมของชนชั้นกลางแล้วนำเอาลักษณะทางวัฒนธรรมของกลุ่มพ่อค้ามากล่าวแทน-ดังปรากฏในบทความเช่น "วัฒนธรรมของคนชั้นกลางไทย" ใน,สังศิต พิริยะรังสรรค์และผาสุก พงษ์ไพจิตร, ชนชั้นกลางบนกระแสประชาธิปไตยไทย, อ้างแล้วข้างต้น -ประเด็นความเข้าใจผิดนี้เราจะดูรายละเอียดในตอนหลัง)  กรณีที่ใกล้ๆเห็นชัดได้แก่การมีอำนาจทางเศรษฐกิจของชนชั้นกลางไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์แต่ไม่มีอำนาจทางการเมืองโดยตรง และยังอยู่ใต้อำนาจอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมที่ถูกปลูกฝังเป็นอุดมการณ์แห่งชาติโดยจอมพลสฤษดิ์ เหตุการณ์๑๔ตุลาจึงมีส่วนสำคัญในแง่เปิดตรงโครงสร้างให้กลุ่มชนชั้นกลางได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองและสร้างอำนาจทางการเมืองได้สำเร็จในเวลาต่อมาดังปรากฏการณ์พฤษภาทมิฬซึ่งเป็นการปิดฉากการสร้างกำแพงกั้นชนชั้นกลางไม่ให้เข้ามามีอำนาจทางการเมือง   รวมทั้งเป็นการแสดงอำนาจท้าทายทางการเมืองและทางอุดมการณ์ในลำดับต่อมาดังที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน      ดังที่เรากำลังได้เห็นถึงการถอยห่างจากอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นการถอยห่างที่แสดงตนเองมากขึ้นผ่านปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมรูปแบบต่างๆ
         ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าชุดคำอธิบายดังกล่าวของปูลองซ่ามีพลังทางการอธิบายสูง และเราเอาประสบการณ์เราในสังคมไทยมาเป็นข้อสนับสนุนได้ดังยกมาให้เห็น

         ยุค ศรีอาริยะได้วิจารณ์การใช้ทฤษฎีชนชั้นกลางว่า "หากนำทฤษฎีของชนชั้นกลางมาใช้วิเคราะห์เหตุการณ์ ๑๗- ๒๐ พฤษภาคมก็จะสร้างปัญหามากมายในการวิเคราะห์เช่นกัน  เราลองมาตั้งคำถามว่าใครคือชนชั้นกลาง ข้าราชการ นายทหาร นายพัน นายร้อย สมาชิกพรรคมารที่สนับสนุนสุจินดาเป็นชนชั้นกลางใช่หรือไม่ ถ้าตอบว่าใช่  ทฤษฎีชนชั้นกลางก็จะมีปัญหาทันที เพราะกลายเป็นว่าชนชั้นกลางทำสงครามกับชนชั้นกลาง มันเกิดขึ้นได้อย่างไร  และนี่ย่อมหมายความว่า  การดำรงอยู่ทางชนชั้นและรอยเชื่อมทางชนชั้นหาได้มีความหมายในทางเป็นจริงไม่" (หน้า๒๒) หรือในอีกที่ "...จะอธิบายได้อย่างไรว่าในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์   ตุลาคม  คนที่อาจเรียกได้ว่าเป็น'ชนชั้นกลาง'เป็นจำนวนมากได้หันไปเป็นสมาชิกของกลุ่มลูกเสืชาวอบ้าน,กลุ่มนวพลและอื่นๆหันกลับมาเผชิญหน้ากับตัวแทนทางชนชั้น 'ตนเอง' ได้อย่างไร" (หน้า๒๓)
         ตรงนี้ตอบยุคได้ไม่ยาก วิธีการแรกคือจัดประเภททางชนชั้นให้ชัดเจนขึ้นเช่นนักศึกษาอาจจัดเป็นชนชั้นนายทุนน้อย ดังนั้นการปะทะกันของสองฝ่ายคือความต่างทางชนชั้นอยู่แล้ว   แต่การตอบแบบนี้อาจยุ่งยากมากในเชิงรายละเอียด    เราก็ยังมีวิธีการอื่นๆอีก เช่นตอบแบบปูลองซ่า ด้วยการตอบว่าความขัดแย้งในตัวอย่างที่ยุคยกมาไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร การดำรงอยู่ทางชนชั้นไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าชนชั้นนั้นๆต้องมีการปฏิบัติการณ์ในรูปเดียวกันหรืออยู่ภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน  ดังข้อความที่ยกมาให้เห็น ชนชั้นกลางในยุโรปในแต่ละที่ไม่ได้อยู่ใต้อุดมการณ์เดียวกัน  เพราะอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีอยู่อาจไม่ใช่อำนาจครอบงำหลักในสังคมนั้นก็ได้    ในแง่นี้ชนชั้นกลางในดินแดนนั้นอาจอยู่ใต้อำนาจทางการเมืองหรือทางอุดมการณ์ของรัฐหรือผู้ครองรัฐดังกล่าว อุดมการณ์แบบเสรีนิยมจึงอาจไม่เป็นอุดมการณ์หลักของชนชั้นกลางในดินแดนนั้นๆในเวลานั้นๆก็ได้  ความซับซ้อนตรงนี้มีมากขึ้นหากเป็นในดินแดนเดียวกัน จริงอยู่แม้ว่าชนชั้นกลางอาจจะมีอำนาจทางเศรษฐกิจกระจายในกลุ่มตนแต่เมื่อถูกครอบงำจากอำนาจทางอุดมการณ์ของชนชั้นอื่นเช่นจากศักดินาหรือฟาสซิสม์  กระแสส่วนใหญ่ของคนชนชั้นดังกล่าวจึงอาจอยู่ภายใต้อุดมการณ์หนึ่ง ขณะที่ก็มีกระแสก้าวหน้าที่อยู่ใต้อุดมการณ์ที่ต่างกันได้  ปูลองซ่าได้เตือนเราว่าอย่าสับสนระหว่างการดำรงอยู่ทางชนชั้นกับการมีอำนาจ  ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องที่การดำรงอยู่ทางชนชั้นไม่มีความหมายในทางเป็นจริง ฐานทางเศรษฐกิจในท้ายที่สุดเป็นตัวตัดสิน   คำถามย้อนกลับจึงมีอยู่ว่าในตัวอย่างที่ยุคยกมาโดยลึกๆเป็นความขัดกันในชนชั้นเดียวกันทางฐานเศรษฐกิจหรือไม่    หรือยุทธวิธีที่ใช้มีความต่างกันในคนชั้นกลางคนละพวก หรือฐานทางอุดมการณ์มีส่วนทำให้เลือกใช้ยุทธศาสตร์ต่างกัน  เช่นฝ่ายยืนข้างสุจินดา  หากสุจินดาและพวกชนะ  สุจินดาจะเป็นปฏิปักษ์กับชนชั้นกลางหรือไม่  ข้าพเจ้าขอตอบเลยว่าสุจินดาไม่ทำเช่นนั้นแน่ เพราะเป็นการฆ่าตัวตาย แต่แน่ๆอำนาจทางการเมืองและทางอุดมการณ์จักยังไม่อยู่ในมือชนชั้นกลางแน่นอน เมื่อมองในแง่นี้หากสุจินดาชนะชนชั้นกลางก็ยังอยู่แต่ไม่มีบทบาทเป็นอำนาจครอบงำหลัก กล่าวอีกอย่างหนึ่ง    ผลประโยชน์ทั่วไปทางชนชั้นของชนชั้นกลางยังไม่ปรากฏเป็นรูปผลประโยชน์ทั่วไปของทั้งสังคมและได้อำนาจบังคับทางสังคมให้สอดคล้องกับผลประโยชน์นี้ดังที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อุดมการณ์ที่มีเนื้อหาที่เหมาะสมกับชนชั้นตนอย่างแท้จริง
         ด้วยเหตุนี้ชัยชนะในเดือนพฤษภาจึงเป็นชัยชนะสำคัญในการได้อำนาจครอบงำหลักเพื่อใช้บรรลุเป้าหมายหลักทางสังคมนั่นเอง ๑๔ตุลามีส่วนสำคัญในการเปิดทางสายนี้ไว้ให้ (ดังจักได้กล่าวต่อไป)
         ตามนิยามของปูลองซ่า  อำนาจจึงเป็นศักยภาพของชนชั้นทางสังคมในการตระหนักรู้ได้ถึงผลประโยชน์ทางภววิสัยเฉพาะเจาะจง  คำว่าทางภววิสัยในที่นี้คือการที่ผลประยชน์ของชนชั้นกลางได้รับการทำให้เป็นสากลและมีผลบังคับทางสังคม กล่าวคือทั้งสังคมถูกทำให้ยอมรับว่าเป็นผลประโยชน์ทั่วไปของสังคม  ตรงนี้ต้องระวังความสับสนในความหมายของคำว่าภววิสัยที่ปูลองซ่าใช้ด้วย
         ยุคเองมีข้อผิดพลาดในการอ่านปูลองซ่าซึ่งเราจะได้กล่าวถึงต่อไป   และประเด็นที่ชัดเจนในตอนนี้ (แม้ว่าเรายังไม่ได้ตอบว่าชนชั้นกลางคืออะไร ดูชนชั้นดูอย่างไร) ก็คือการนิยามชนชั้นกลางนั้นไม่คลุมเครือ  จุดสับสนอยู่ที่ไม่คิดให้ชัด  หรือพยายามตอบคำถามที่คิดว่าตอบไม่ได้ ตรงนี้นั่นเองจึงเป็นจุดตั้งต้นของความคลุมเครือที่แท้จริง.

(หมายเหตุ- บทความนี้ยังมีต่ออีกหลายตอน     ดังที่ท่านผู้อ่านคงได้เห็นแล้วว่าเป็นการถกเถียงในประเด็นใหญ่ ในตอนต่อไปเราจะวิพากษ์ยุค นิธิ และคนอื่นๆ เพื่อนำไปสู่คำตอบในตอนท้ายว่าเราได้อะไรจาก ๒๐ ปีที่ผ่านมาของเหตุการณ์๑๔ตุลา และสังคมไทยควรเดินไปทางไหน  ท่านผู้อ่านคงสังเกตได้ว่าไม่มีที่ใดในบทความที่ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าเป็นมาร์กซิสต์ จึงไม่ควรสรุปอะไรเช่นนั้น   นี่ไม่ใช่เพราะการเป็นมาร์กซิสต์มีอะไรน่ารังเกียจ  คนที่คิดเช่นนั้นนั่นแหละน่ารังเกียจเพราะแสดงว่าไม่รู้จริง  ท่านคงจะเห็นได้ว่าข้าพเจ้าใช้วิธีการเอาดาบที่อีกฝ่ายใช้มาสู้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายเปลี่ยนอาวุธข้าพเจ้าก็จะลองใช้อาวุธแบบนั้นสู้ตาม)
        
        


[1] Nicos Poulantzas เป็นนักคิดชาวกรีกที่ย้ายไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ในที่นี้ ออกเสียงชื่อสกุลของเขาตามเสียงในภาษาฝรั่งเศส แต่ถ้าออกเสียงตามภาษากรีก จะเรียกว่า นิคอส พูลัธซาส ตามชื่อในภาษากรีกคือ Νίκος Πουλαντζάς   

No comments: