Wednesday, October 2, 2013

ชาตินิยม (Nationalism)


หมายเหตุ  นี่เป็นบทบรรณาธิการที่ผมเขียนให้กับวารสารอักษรศาสตร์  มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่  26 ฉบับที่ 1 (มิถุนายน-พฤศจิกายน 2546) ฉบับชาตินิยม  (Nationalism) ผมเอาเผยแพร่ในที่นี้ทั้งบทความ เพราะเห็นว่าหลายบทความในวารสารฉบับนี้น่าสนใจมาก จึงแนะนำเผื่อไว้ให้ท่านผู้ที่สนใจได้ลองไปหาตัวฉบับดังกล่าวมาอ่านดู

บทบรรณาธิการ
บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์

         รัฐชาติเป็นรูปแบบหน่วยจัดการการปกครองสมัยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นนับจากศตวรรษที่18 โดยมีพื้นฐานความคิดที่ถือว่าองค์อธิปัตย์ของรัฐก็คือประชาชน (พลเมือง) และเจตจำนงทั่วไปของประชาชน (พลเมือง) คือผลประโยชน์ของชาติ   ชาตินิยม (Nationalism) ได้ปรากฏตนขึ้นในฐานะอุดมการณ์ทางการเมือง  โดยผู้ปกครองรัฐนำมาใช้ในรัฐชาติเพื่อปลุกเร้าอารมณ์รวมหมู่ของพลเมืองในรัฐตนให้อุทิศตนเพื่อรัฐ  และใช้เป็นกาวประสานความแตกต่างจากการที่ประชากรพื้นถิ่นต่าง ๆ ที่ถูกรวมมาเป็นพลเมืองอยู่ใต้ร่มธงแห่งรัฐเดียวกัน ทั้งที่มีความแตกต่างกันทั้งในด้านของเชื้อชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ความเป็นมา   รัฐชาติและความคิดแบบชาตินิยมจึงได้กลายเป็นสิ่งที่ส่งเสริมกันและกันในการดำรงสถานะในยุคใหม่  และมักอาศัยการสร้างและผลิตมายาภาพเรื่องความเป็นเนื้อเดียวกันทางวัฒนธรรมซึ่งอิงการมีชาติพันธุ์เดียวกัน หรือวัฒนธรรมเดียวกัน หรือประวัติความเป็นมาร่วมกัน มาปลูกฝังความเชื่อเพื่อให้พลเมืองมีความจงรักภักดีต่อรัฐชาติตน
         ในการต่อสู้เพื่อเอกราช เพื่อปลดปล่อยตนเองจากการเป็นอาณานิคม ชนพื้นเมืองในท้องถิ่นต่าง ๆ มักสร้างกระแสชาตินิยมเพื่อสร้างแนวร่วมในการต่อสู้กับเจ้าอาณานิคม การสร้างความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีผลประโยชน์ร่วมที่ต้องช่วยกันปกป้อง  ถือเป็นกระแสทางจิตวิทยาสังคมพื้นฐานที่ช่วยให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองดังกล่าวเป็นไปได้ราบรื่นขึ้น  รัฐชาติที่เกิดขึ้นใหม่มักเป็นผลิตผลจากการเคลื่อนไหวที่อิงอาศัยกระแสความคิดแบบชาตินิยมเป็นเครื่องมือช่วยในการสร้างสำนึกความเป็นชาติเดียวกัน  แต่ในอีกแง่หนึ่ง กระแสความคิดแบบชาตินิยมนั้นก็เป็นกระแสความคิดที่ค่อนข้างอันตราย การอ้างว่าเป็นกลุ่มพวกเดียวกัน จึงต้องคิดต้องเชื่อต้องทำอะไรไปในทิศทางเดียวกัน ปกป้องสิ่งเดียวกัน  ในแง่นี้ ชาตินิยมจึงเป็นกระแสความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นขึ้นในแบบเร้าอารมณ์คน เพื่อมุ่งไปสู่ทิศทางหนึ่งใดตามที่ผู้ปั่นกระแสต้องการ และมักไม่ต้องการการพิจารณาเชิงเหตุผลอย่างจริงจัง เพราะอาจไปสลายมายาภาพในเรื่องความเป็นเนื้อเดียวกันของประชากรลง

         วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ฉบับนี้เป็นฉบับชาตินิยม บทความประจำฉบับจะวิเคราะห์ถึงกำเนิดและพัฒนาการของความคิดแบบชาตินิยม รวมทั้งเรื่องของกระแสชาตินิยมที่พยายามสถาปนาความเป็นชาติไทยขึ้น  บทความของพรเพ็ญ ฮั่นตระกูลจะแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของลัทธิชาตินิยมจากจุดกำเนิด และวิเคราะห์ให้เห็นว่าสภาพการณ์อะไรที่เอื้อให้เกิดเป็นรูปแบบชาตินิยมที่หลากหลายในแต่ละท้องถิ่น  สภาพการณ์เช่นใดที่เอื้อให้ความคิดชาตินิยมปรากฏเป็นรูปแบบสุดโต่ง      บทความของกำพล จำปาพันธ์ได้วิเคราะห์การเมืองของการกำหนดชื่อประเทศไทย จากเดิมที่เรียกคละกันไปว่าสยามบ้างและไทยบ้างกลายเป็นเรียกว่าไทยในปัจจุบัน  กำพลได้นำเสนอประเด็นที่เปิดต่อการถกเถียงต่อไปว่า รัฐบาลที่นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ดำเนินนโยบายที่ยังสืบเนื่องกับความคิดของคณะราษฎรในการทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศของพลเมืองทุกคน โดยเรียกทุกคนว่าเป็นคนไทยตามสัญชาติ  ขณะที่รัฐบาลในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่เคยมีจุดมุ่งหมายเช่นนึ้  ในแง่นี้รัฐชาติไทยจึงบรรลุอุดมคติในระดับหนึ่งเมื่อยอมรับโดยหลักการว่าพลเมืองของตนว่าเป็นชนชาติเดียวกัน
         บทความของพงษ์ศิลป์ อรุณรัตน์เปิดประเด็นถกเถียงโต้แย้งทัศนะทั่วไปที่ปรากฏในวงการดนตรีไทยที่มองยุคสมัยของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามในช่วงก่อนและระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพาว่าเป็นยุคมืดของดนตรีไทย ว่าได้ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่าในยุคดังกล่าวดนตรีไทยมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าขึ้นในระดับสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการวางรากฐานทางการศึกษาดนตรีไทยอย่างเป็นระบบขึ้นเป็นครั้งแรก พงษ์ศิลป์ได้แสดงให้เห็นว่า The Evolution of Thai Music ซึ่งเป็นหนังสือที่จัดทำโดยรัฐบาลในยุคนั้นมีความสำคัญอย่างไร และควรได้รับการใส่ใจให้มากกว่าที่เป็นอยู่  นอกจากนี้รัฐนิยมที่รัฐบาลในยุคนั้นประกาศออกมาแม้ว่าจะมีอิทธิพลของความคิดชาตินิยมอยู่สูง แต่ในบางประกาศก็มีส่วนช่วยพัฒนาวงการดนตรีไทยให้ก้าวหน้าขึ้น หากจะมองอย่างให้ความเป็นธรรม
         ในส่วนของรายงานพิเศษนั้น  บาหยัน อิ่มสำราญได้รายงานการอภิปรายของนักประวัติศาสตร์ไทยสามท่าน คือ  ชาญวิทย์ เกษตรศิริ  สุเนตร ชุตินธรานนท์  และสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ  ในเรื่องภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์กับชาตินิยมซึ่งแสดงให้เห็นถึงเรื่องของกระแสชาตินิยมในปัจจุบันที่หันไปใช้สื่อประเภทภาพยนตร์ในการช่วยสร้างกระแสความคิด
         ในส่วนของบทความพิเศษ เรามีบทความของไรน์โฮลด์ กริมม์ (Reinhold Grimm) ศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ ริฟเวอร์ไซด์  กริมม์ได้แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของบทกวีของฮันส์ มักนุส เอนเซนแบร์เกอร์ (Hans Magnus Enzensberger) นักคิดและกวีชาวเยอรมัน  ว่าสามารถเชื่อมระหว่างแดนของวิทยาศาสตร์และบทกวีซึ่งดูเหมือนอยู่กันคนละโลกให้เข้ากันได้อย่างลงตัว อันคู่ควรแก่การที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเป็นคนต่อไป  บทความนี้แสดงถึงภูมิรู้อันกว้างขวางของผู้เขียน และเป็นตัวอย่างของงานวรรณกรรมวิจารณ์ที่ผู้ศึกษาวรรณคดีควรศึกษา  

         จากข้อเท็จจริงที่ว่าชนกลุ่มใหญ่ภายในรัฐชาติหนึ่ง ๆ มักมีบทบาทครอบงำการปกครองของรัฐชาตินั้น ๆ   แบบแผนการใช้ชีวิตของชนกลุ่มดังกล่าวจึงถูกนำมาส่งเสริม กำหนด กระทั่งบังคับ ให้เป็นรูปแบบพื้นฐานทางจารีตของรัฐชาตินั้น ๆ   ความคิดแบบชาตินิยมที่เรียกร้องพลเมืองให้มีความจงรักภักดีต่อชาติตนจึงมักถูกย้ำให้เป็นเรื่องของการปกป้องสายเลือดหรือชาติพันธุ์  และมักมีการสร้างมายาภาพเรื่องความเป็นเนื้อเดียวกันทางวัฒนธรรม และการมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาร่วมกัน ชาตินิยมในรูปแบบนี้จัดเป็นชาตินิยมที่เป็นภัยอย่างยิ่ง เพราะนอกจากอิงความเขลาจากการไม่ใส่ใจต่อข้อเท็จจริง ยังชักนำผู้คนให้เกลียดชังกลุ่มคนที่ถือว่าไม่ใช่พวก และมองภาพชนเหล่านั้นแต่ในทางลบ จนกระทั่งมองว่าการกำจัดกลุ่มชนเหล่านั้นก็เป็นความชอบธรรม
         ในบ้านเรานั้น กระแสความคิดแบบชาตินิยมมักดำเนินไปในแนวทางดังกล่าว และนำไปสู่การสร้างความแตกแยกอย่างร้าวลึก  กรณีของสามจังหวัดภาคใต้เป็นตัวอย่างที่เด่นชัด ทัศนะของคนจำนวนไม่น้อยที่สะใจต่อการตายของผู้คนในกรณีสลายม็อบที่ตากใบ บ่งชี้อย่างแจ่มชัดว่าชาตินิยมในแนวนี้เป็นภัยอย่างไร โดยอาศัยกระแสอารมณ์รวมหมู่ที่ไม่ใส่ใจการพิจารณาเชิงเหตุผล ผู้บริหารประเทศก็ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกแบบด้อยเหตุผลเช่นนี้ในการสร้างกระแสนิยมในตนเองขึ้น ซึ่งส่งผลให้รอยร้าวระหว่างกลุ่มชนลึกลงมากขึ้น
         ในแง่หนึ่ง ชาติเป็นความคิดและจินตนาการที่เราใช้มองความสัมพันธ์ระหว่างตัวเราโดยผูกพันกับพื้นที่บางแห่งและกลุ่มคนที่อยู่แวดล้อมตัวเรา  ชาติมักถูกสร้างมายาภาพให้มีจินตนาการว่าเป็นแบบใดโดยไม่ใส่ใจกับข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง  เมื่อเราถามว่า  ชาติไทยคือชาติของใครใครคือคนไทยความเป็นไทยคืออะไร? ชาติไทยต้องมีเอกลักษณ์หรือไม่คำตอบในเรื่องนี้มักเป็นสูตรสำเร็จที่ถูกผลิตขึ้นโดยทางการอย่างจงใจ  เราจึงมักพบเห็นความโง่เขลาและการด้อยวิชาการของกลุ่มชนอนุรักษ์นิยมที่ออกมาเคลื่อนไหวโดยอ้างความรักชาติ โดยผู้บริหารรัฐเองก็ให้การสนับสนุนกระแสดังกล่าวอย่างพอใจ  สังคมไทยนั้นไม่อาจดำรงอย่างมั่นคงได้ภายใต้กระแสความเขลาเช่นนี้  หน้าที่ของเราในฐานะพลเมืองไทยจึงอยู่ที่การไม่วางเฉยและต้องวิพากษ์อย่างถึงที่สุดต่อกระแสความเขลาดังกล่าว  สังคมไทยนั้นต้องการความสมานฉันท์บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่มายาภาพ  เราต้องการปัญญาและการอภิปรายถกเถียงเชิงเหตุผลมากกว่าการปลุกปั่นสร้างกระแสชวนเชื่อ  เมื่อพิจารณาจากแง่นี้ เราจึงควรระวังอย่างยิ่ง ในครั้งใดก็ตามที่ความคิดแบบชาตินิยมถูกนำมาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้เป็นกระแสสังคม

         กองบรรณาธิการขอขอบคุณอาจารย์ศุภกาญจน์ ผาทองที่ช่วยดูแลการจัดทำบทคัดย่อภาษาอังกฤษของบทความในฉบับนี้

No comments: