หมายเหตุ บทความนี้เป็นบทความเก่าที่ผมเขียนลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยไฟแนนเชี่ยล
ฉบับวันที่ 30 มิถุนายน 2536 แต่สิ่งที่ผมนำเสนอยังใช้ได้กับสังคมไทยปัจจุบัน
ซึ่งยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงมีความเชื่อดังที่ผมได้นำมาวิเคราะห์ในบทความนี้อยู่
อาการป่วยทางสังคมของคนไทย
บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ *
"ด้านจ.พิจิตร ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บ้านเลขที่๑๖๗ ถนนริมน่าน อ.บางมูลนากซึ่งเด็กทารกประหลาดที่ญาติๆตั้งชื่อให้ว่าแม่เนื้อทองพักอยู่ปรากฏว่า ยังมีชาวบ้านแห่กันไปบูชาขอลาภจากเด็กดังกล่าวเป็นจำนวนมากอยู่เช่นเดิม
โดยมีนางเช้า เพชรหมู่ซึ่งเป็นยายคอยอุ้มแม่เนื้อทองอยู่ตลอดเวลา โดยเมื่อมีใครไปจับต้องแม่เนื้อทองก็จะร้องออกมา น้ำเสียงบ่งบอกให้ทราบว่าเกิดความเจ็บปวดทุกครั้งไป
จากการสังเกตผู้สื่อข่าวพบว่า อาการบวมที่ปากดีขึ้น คือยุบตัวลงแล้ว พูดได้ว่าอาการดีขึ้นกว่าวันก่อน
แต่อย่างไรก็ดี ชาวบ้านก็ยังไม่ยอมถอนตัวออกไปง่ายๆ ยังคงเฝ้ารอหวังที่จะทำกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อในการให้โชคลาภกันต่อไป" (ไทยรัฐ, ๒๗ มิ.ย. ๒๕๓๖)
"ท่ามกลางเดือนมืด เกิดสิ่งประหลาดเป็นดวงไฟสว่างโร่พุ่งอย่างรวดเร็วลงมาตกที่ท้ายหมู่บ้านตอนรุ่งเช้าจุดนั้นเป็นหลุมลึก ชาวบ้านขุดขึ้นมาเป็นวัตถุก้อนโตหนักกว่า๑๐กิโลกรัมมีผิวและสีเหมือนเหล็กไหล
ผู้คนแตกตื่นมากราบไหว้กันล้นหลาม" (ไทยรัฐ, ๒๕ มิ.ย. ๒๕๓๖) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เพชรบูรณ์
สังคมไทยในปลายศตวรรษที่ ๒๐ นี้มีภาพของปรากฏการณ์ที่ดูขัดแย้งกันมากมาย
เมื่อเราเดินเข้าไปในสำนักงานแต่ละแห่ง
เราอาจพบเครื่องส่งโทรสาร เครื่องคอมพิวเตอร์ประจำสำนักงาน
ซึ่งช่วยการทำงานของเราให้มีความคล่องตัวขึ้น เรารับคลื่นโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อชมการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลนัดสำคัญในเวลาที่ใกล้เคียงกับชาวอเมริกันที่อยู่ข้างสนามกำลังเชียร์บอลกันอยู่ แต่ในบริเวณรั้วสำนักงานเดียวกันเราก็มองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นศาลพระพรหมซึ่งมีผู้กำลังจุดธูปเพื่อบนบานขอสิ่งที่ปรารถนาอยู่
นี่คือภาพปกติที่เราพบเห็นในเมือง
รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำพิธีบวงสรวงศาลประจำกระทรวงในวันแรกที่เข้าทำงานในกระทรวง โทรทัศน์รายการพิเศษเนื่องในวันครบรอบปีของการก่อกำเนิดกองทัพรายงานว่า"พระสยามเทวาธิราชย์ทรงให้กองทัพไทยเป็นผู้นำในการป้องกันประเทศ..." และผู้นำกองทัพก็ต้องการให้รัฐบาลผ่านงบประมาณเพื่อจัดซื้อเครื่องบินรบรุ่นล่าสุด ที่มีศักยภาพในการทำการรบได้สูงแม้ในทัศนวิสัยที่เลวก็ตาม(เพราะไม่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพ ต่อให้พระสยามเทวาธิราชย์ผู้ทรงมหิทธานุภาพอยู่เคียงข้างก็ตาม คนที่ชอบอ้างอะไรเช่นนั้นก็ยังรู้สึกเสี่ยงอยู่ ด้วยเหตุว่าเวลารบจริงกระสุนไม่มีตาดูว่ามีใครอยู่เคียงข้าง)
เราจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าในเมืองหรือในชนบทความเชื่อเหล่านี้ไม่ต่างกันเลย คนเมืองที่อ่านข่าวที่ยกมาในตอนต้นอาจหัวเราะเยาะต่อการกระทำของชาวบ้านเหล่านั้นทั้งที่ปรากฏการณ์แบบเดียวกันก็เกิดอยู่ข้างๆตัวนั่นเอง คนรุ่นใหม่บางส่วนที่ยังมีศรัทธาในพุทธศาสนาและพยายามประนีประนอมให้เข้ากันกับความเชื่อที่ได้อิทธิพลจากวิทยาศาสตร์ก็มักแสดงความไม่พอใจกับพระเกจิอาจารย์ที่นิยมปลุกเสกเครื่องรางของขลังไว้ขายไว้แจกชาวบ้าน และแสดงความชื่นชมกับคำสอนของพระภิกษุที่พวกเขาเข้าใจว่า "มีความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์" เช่น พระพุทธทาสภิกขุ เป็นต้น และก็มักละเลยไม่นำพาว่าในข้อเขียนของพระพุทธทาสเองก็มีการกล่าวถึงปรากฏการณ์มหัศจรรย์ทำนอง"กระดูก"ของพระพุทธเจ้าลอยเข้ามารวมตัวใหม่เป็นร่างพระพุทธเจ้าแสดงอานุภาพให้ดูก่อนสลายตัวไปอีกครั้งหนึ่ง (ดูหนังสือเรื่องนิพพานของพุทธทาสภิกขุ)
อะไรคือสาเหตุของปรากฏการณ์ที่ดูขัดแย้งกันนี้?
ทำไมสังคมไทยปัจจุบันซึ่งรวดเร็วในการรับเทคโนโลยีล่าสุดอันเป็นผลจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงยังไปกันได้กับความเชื่อในเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ที่ขัดกับความคิดพื้นฐานแบบวิทยาศาสตร์?
ข้าพเจ้าจะขอเสนอแนวคำอธิบายต่อเรื่องนี้ ความเข้าใจที่ได้จะช่วยให้ผู้ทำงานบริหารประเทศได้เห็นรากเหง้าของปัญหาเพื่อจัดวางแนวทางการพัฒนาประเทศได้อย่างสัมพันธ์กับตัวปัญหาที่แท้จริง และอย่างน้อยที่สุดผู้อ่านทั่วไปก็จะได้ลองคิดพิจารณาในด้านลึก
อันเป็นการตรวจสอบตัวเองแบบหนึ่ง
พื้นฐานที่ไม่ต่าง
"ต่อมาในวันที่ ๑๗ มิถุนายน
พอผู้คนทั้งหลายพากันแห่ไปดูวัตถุประหลาดนี้ก็ปรากฏว่าหายไปแล้ว ถามเจ้าของบ้านนั้นก็ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เห็น
จนกระทั่งตอนบ่าย สวป.
สภ.อ.หล่มสักจึงได้เดินทางไปพบกับผู้ที่ครอบครองวัตถุอันนี้ได้เจรจาเพื่อที่จะนำส่งให้กับทางอำเภอ
เพื่อที่จะได้ส่งเข้าวิจัยว่า มันคืออะไร... แต่ต่อมาตอนหลังก็ยินยอม
แต่ว่าวัตถุก้อนนั้นก็ถูกตัดแบ่งเป็น๒ก้อนซะแล้ว..." (ไทยรัฐ, ๒๕ มิ.ย. ๒๕๓๖)
ในที่นี้เราคงเห็นได้ว่ามีคนบางคนได้ประโยชน์จากการครอบครองสิ่งดังกล่าวไว้
การที่มีคนมาบูชาและบนบานต่อก้อนโลหะนี้เป็นช่องทางทำมาหากินของใครบางคนด้วย ตรงนี้บอกเราบางอย่างเกี่ยวกับลักษณะร่วมของปรากฏการณ์แบบนี้
กล่าวคือ
ประการแรก การคงความเชื่อดังกล่าวไว้มีบางคนได้ประโยชน์โดยตรง แน่นอนว่าคนเหล่านี้ย่อมต้องการให้มีการคงความเชื่อแบบนี้ไว้ต่อไป
ประการที่สอง คนที่เชื่อและถูกคนบางคนหาประโยชน์จากความเชื่อของเขา
ในแง่หนึ่งคนเหล่านั้นมีความหวังที่จะได้บางสิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา
ตรงนี้ทำให้แม้รู้ว่ามีคนบางคนอาศัยความเชื่อของตนไปแสวงหาผลประโยชน์ก็ยังคงยอมรับได้
ตราบเท่าที่ยังเหลือความหวังไว้ให้กับพวกเขา
ประการที่สาม เราจะเห็นได้ว่าข่าวตามเรื่อง"แม่เนื้อทอง"นั้น แม่และยายไม่ได้หาประโยชน์จากความเชื่อ
ความรักและห่วงลูกหรือหลานนี้แสดงออกเป็นการคาดหวังสภาพที่ดีขึ้นของ"แม่เนื้อทอง" ขณะที่ชาวบ้านอื่นๆแม้อาจสงสารเด็กแต่ก็ยังอยากรักษาความหวังของตนเองให้คงอยู่ต่อไป
จึงพากันพร้อมใจมองข้ามความสงสารที่ตนมีต่อเด็กดังกล่าว
ประการสุดท้าย ไม่ว่าความเชื่อเช่นนี้ลงท้ายจะนำพาลาภให้มาสนองความอยากของตนหรือไม่
ตัวความหวังนี้เป็นสิ่งที่มีผลต่อการให้กำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป ตรงนี้เองที่ผลของความหวังไม่ใช่เรื่องหลัก
แต่ตัวความหวังเองต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ และคนยอมแลกเอาด้วยการจ่ายเป็นราคาที่แตกต่างกันไปตามสถานะของแต่ละคน
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากที่จะเข้าใจเลยว่า ทำไมคนเมืองที่อาจผ่านระบบการศึกษาหลายสิบปีในชีวิต
หรืออยู่ใกล้แหล่งข่าวสารต่างๆจึงยังทำอะไรที่ดู "แปลกๆและไร้เหตุผล" (ตามที่พวกเขาใช้กล่าวหาคนชนบทเหล่านั้น) เช่นเดียวกันกับคนชนบทที่พวกเขาพากันหัวเราะเยาะเมื่อได้อ่านข่าวดังกล่าว เราจะเห็นได้ว่ารูปแบบของการแสดงออกความเชื่อจะเป็นไปตามสภาพที่เอื้อในแต่ละท้องถิ่น ทั้งนี้อิงกับของบางอย่างที่ตกทอดมาเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมในสังคมนั้นๆ ความเชื่อเหล่านี้มีที่มาอยู่บนฐานของการต้องการความหวังในชีวิต
และจำนวนหนึ่งในนั้นได้รวมเอาการหาประโยชน์จากความหวังของคนอื่นด้วย
ในแง่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่
ก็เพราะได้เห็นกันว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยในการทำให้ความหวังของตนเองเป็นจริงได้ การรับเทคโนโลยีมาใช้ไม่ว่าเทคโนโลยีนั้นๆจะถูกสร้างขึ้นมาจากฐานของความคิดแบบใดและขัดกับความเชื่อที่รับมาในวัฒนธรรมของตนหรือไม่
จึงยังทำต่อไปได้โดยไม่รู้สึกขัดแย้งมากนัก เพราะจุดหลักตรงนี้คือต่างก็เป็นสิ่งที่ให้ความหวังของตนมีอยู่ได้อย่างต่อเนื่องต่อไป (ตัวเนื้อหาของความหวังอาจเปลี่ยนไปก็ได้ ตรงนี้ไม่ขัดแย้งกับที่กล่าวมา)
ที่คือลักษณะทางจิตวิทยาของคนในสังคม
ปรากฏการณ์ก็คืออาการของโรค
เวลาที่คนเราเจ็บป่วย เราย่อมแสวงหาทางรักษาตนเอง แต่ในบางครั้งถ้าเรารู้ว่าการรักษานั้นไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะแสวงหามา
หรือทำได้ภายใต้วงที่จำกัด หรืออาจไม่เห็นหนทาง คนเราก็ยังมักไม่สิ้นหวังแต่จักพยายามหาสิ่งหนึ่งใดมาทดแทนการรักษา
หรือเยียวยาไปตามแต่ที่จะทำได้ภายใต้เงื่อนไขที่มีอยู่จริง ความป่วยไข้ของสังคมก็เช่นกัน คนในแต่ละส่วนสังคมนั้นๆต่างก็ดิ้นรนไปตามวิสัยที่ตนคิดว่าตนทำได้
หรือที่ทำได้จริง ความจริงนี้บอกเราว่า คนในสังคมไทยนั้นไม่ต่างกันมากนักในแง่การมีปัญหาที่พื้นฐานเดียวกัน
และในบางครั้ง ระหว่างคนป่วยด้วยกันก็อาจเป็นความเคยชินจนเข้าใจว่าตนไม่ป่วย
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาในดินแดนแห่งนี้ ผู้คนมีความหวังเป็นสิ่งเหนี่ยวนำการใช้ชีวิตยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
ปรากฏการณ์ที่ยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้นนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในการรับรู้ของเรามานานแล้ว
ในรัฐที่การเป็นพลเมืองมีความหมายเป็นเพียงการเป็นหญ้าแพรกที่พึง"รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี" ผู้คนมีแนวโน้มอยู่กับความหวังมากกว่าอยู่กับความเป็นจริง ทำไม? เราจะเห็นได้ว่าในกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสทางสังคมเรื่องใดๆที่มีความแปลกไปจากปกติล้วนเป็นสิ่งให้ความหมายในเชิงให้ความหวังได้ทั้งนั้น
เช่น การพบเห็นต้นไม้หรือสัตว์ที่มีลักษณะผิดปกติไป เป็นต้น กลุ่มคนที่มีโอกาสทางสังคมสูงกว่า
อาจมีระดับการแสดงออกที่ซับซ้อนขึ้น
เพราะความหวังในแง่การได้ปัจจัยสี่มักได้รับการสนองตอบได้ง่ายกว่า
การศึกษาบนฐานของแนวคิดที่ตั้งเป้าค้นหาความจริง (ไม่ว่าจะมีให้ค้นหาหรือไม่) เข้ามาคัดง้างกับการแสดงออกในแบบง่ายๆข้างต้น แต่เขาเหล่านี้ก็ยังต้องการความมั่นใจในความคงทนถาวรของสภาพที่มีอยู่เมื่อไปเทียบกับกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสทางสังคมกว่าตน
ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่มีความหมายและเป็นตัวนำพาผู้ที่ปรารถนาเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นได้เข้าไปพิจารณาให้เห็นสิ่งที่อยู่หลังตัวปรากฏการณ์
ความป่วยไข้ของคนในสังคมไทยไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่เป็นสิ่งที่เกิดในความสัมพันธ์ทางสังคม ฐานจริงๆอยู่ตรงที่สภาพการณ์ของการเอื้อให้คนมุ่งไขว่คว้าหาสิ่งที่ให้ความหวังได้แบบต่างๆ ระบบการเมืองการจัดการทางสังคมเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมให้คนดิ้นรนในแบบใด ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะข้างต้นจึงมีรากเง่าอยู่ในโครงสร้างดังกล่าวด้วย
อาการของความป่วยไข้ทางสังคมที่สะท้อนผ่านตัวบุคคลในปรากฏการณ์จึงเป็นอาการโดยตรงของโครงสร้างทางสังคมนั้นๆนั่นเอง
ตรงนี้เองที่ทุกครั้งเราหัวเราะเยาะใส่พฤติกรรมของส่วนดังกล่าวของสังคมไทย
จึงเป็นการหัวเราะเยาะสังคมไทยด้วย
วิธีการหนึ่งในการเยียวยาสังคมไทย
ในท่ามกลางการเคลื่อนของเวลาเข้าสู่ศตวรรษใหม่
เป็นหน้าที่ของใครก็ตามที่อาสาเข้ามารับบทบาทของการเป็นผู้บริหารประเทศที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ
เขาเหล่านั้นไม่ได้มีหน้าที่เพียงการจัดการเฉพาะหน้าเพื่อแก้ปัญหาที่ตัวปรากฏการณ์เป็นเรื่องๆไป
แต่มีหน้าที่มองให้เห็นปัญหาที่ลึกลงไปกว่าระดับปรากฏการณ์ เพื่อจักได้แก้ไขที่ตรงจุดรากเหง้าของตัวปัญหา การรู้จักสังเกตปรากฏการณ์ในเชิงวัฒนธรรมจักช่วยในการวินิจฉัยโรคที่แท้จริง การเป็นรัฐบุรุษของนักการเมืองคนหนึ่งใดดูได้ในแง่หนึ่งที่ตรงนี้ มากกว่าเป็นนักแก้ปัญหาระดับผิว หรือที่แย่ยิ่งกว่าก็คือเป็นเพียงนักขายฝันทางสังคม
สำหรับประชาชนแล้ว การอยู่กับความหวังและเฝ้าหวังไปไม่สิ้นสุดในแง่หนึ่งก็คือการหลอกตนเอง
แม้กระทั่งการไปฝากความหวังกับตัวผู้บริหารประเทศก็ตาม เรานั้นไม่ใช่หญ้าแพรกที่ต้องคอย"รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี"
ยุคสมัยเช่นนั้นกำลังผ่านพ้นไป แต่เราคือหนามแหลมที่ช้างสารชนกันไม่ระวังมาเหยียบโดนเข้าก็จักเจ็บไป สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องคอยย้ำเตือนตนเสมอ ในระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนอย่างเราๆนี่แหละคือความหมายและความหวังของสังคมไทย ผู้ที่จักเยียวยาสังคมให้หายป่วยได้จึงไม่ได้อยู่ห่างไกลที่ไหน
ตอนที่เราเปลี่ยนไป โครงสร้างเองก็เปลี่ยนตาม.
บทความนี้ลงพิมพ์ใน ไทยไฟแนนเชี่ยล, ๓๐ มิ.ย. ๒๕๓๖
No comments:
Post a Comment