หมายเหตุ บทบรรณาธิการนี้ผมเขียนลงในวารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 26 ฉบับที่ 2 (ธันวาคม 2546-พฤษภาคม 2547) ฉบับมาร์กซิสม์ในศตวรรษที่ 21
บทบรรณาธิการ
บุญส่ง
ชัยสิงห์กานานนท์
“ปีศาจตนหนึ่งกำลังหลอกหลอนยุโรป- ปีศาจแห่งคอมมิวนิสต์ บรรดากลุ่มอำนาจแห่งยุโรปเก่าทั้งหมดได้จับมือกันเป็นพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อขับไล่ปีศาจตนนี้…”[1]
นี่คือประโยคแรกของข้อเขียนอันลือลั่นของคาร์ล
มาร์กซ์ ในหนังสือเรื่องแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ตลอดศตวรรษที่ 20 ปีศาจตนนี้ได้หลอกหลอนกลุ่มอำนาจเก่าไปทั่วโลก ไม่มีใครจะสามารถปฏิเสธอิทธิพลและความสำคัญของความคิดของมาร์กซ์ที่มีต่อการเคลื่อนไหวของกระแสมาร์กซิสม์ทั้งในทางวิชาการและทางปฏิบัติในการเคลื่อนไหวทางสังคม ในแง่ของการเมือง การเกิดรัฐสังคมนิยมขึ้นมากมายในแนวทางแบบมาร์กซิสต์หลังการเกิดสหภาพโซเวียตเป็นต้นมา ได้สร้างทางเลือกของระบบเศรษฐกิจสังคมที่เป็นคู่แข่งกับระบบทุนนิยมที่นำโดยสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นรูปธรรม จนประเทศในแนวทางทุนนิยมบางส่วนต้องปรับตัวเป็นรัฐสวัสดิการ
เพื่อสลายการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพให้เหลือแค่เป็นเพียงการปฏิรูปทางสังคม
ในปัจจุบัน แม้ว่าสหภาพโซเวียตจะล่มสลายไปแล้วก็ตาม
รวมทั้งประเทศสังคมนิยมจำนวนมาก และประเทศสังคมนิยมที่เหลือต่างก็เริ่มปรับตัวเข้ากับแนวทางของระบบทุนนิยม แต่กระนั้นความคิดของมาร์กซ์ก็ยังคงมีอิทธิพลทั้งต่อวงวิชาการในแง่เครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์สังคมทุนนิยม
และต่อการสร้างแรงดลใจและการให้แนวทางในการเคลื่อนไหวทางสังคมในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วโลกในการต่อต้านการขยายตัวครอบโลกของทุนนิยมโลกาภิวัตน์
วารสารอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร ฉบับนี้ เป็นฉบับมาร์กซิสม์ในศตวรรษที่ 21 ในส่วนของบทความประจำฉบับนั้น ในส่วนแรกจะประกอบด้วยบทความและบทความแปล
โดยมุ่งนำเสนอการถกเถียงในประเด็นความสำคัญของมาร์กซิสม์ในปัจจุบัน ตลอดจนแนวทางของมาร์กซิสต์ในการต่อสู้ทางการเมืองในโลกปัจจุบัน
บทความของใจ อึ๊งภากรณ์ต้องการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของแนวคิดสังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์สายตรอทสกีในยุคปัจจุบัน ว่าเป็นแนวทางมาร์กซิสต์ตัวแบบที่พยายามสร้างสังคมนิยมจากเบื้องล่าง ที่มุ่งลดบทบาทสำคัญของชนชั้นนำและการชี้นำจากพรรคลงไป
อันเป็นแนวทางที่แตกต่างจากสังคมนิยมแบบ “จัดให้” หรือจากเบื้องบน เช่นที่ปรากฏในรัฐและพรรคการเมืองแนวสังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์ทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะแนวทางแบบของสตาลินและเหมาเจ๋อตง
ซึ่งกลายเป็นการสร้างระบบเผด็จการที่สร้างปัญหาในทางสังคมและการเมืองไว้มากมาย ในบทความนี้ ใจแสดงให้เห็นว่าแนวคิดสังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์สายตรอทสกีสามารถช่วยเหลือเราให้มีทางออกจากทุนนิยมโลกาภิวัตน์ในยุคปัจจุบันได้อย่างไร
และทำไมกระแสความคิดนี้จะได้รับการตอบรับในหมู่นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพทั่วโลกในปัจจุบัน
อันโตนิโอ กรัมชี่
เป็นมาร์กซิสต์คนสำคัญคนหนึ่งซึ่งได้รับการยกย่องว่าอาจจะเป็นมาร์กซิสต์ที่มีความคิดแรกเริ่มมากที่สุดผู้หนึ่งในศตวรรษที่
20[2] ความคิดเรื่องการช่วงชิงการนำทางความคิดจิตใจ
(Hegemony) ที่กรัมชี่นำเสนอไว้[3]ได้มีอิทธิพลทั้งต่อการวิเคราะห์สังคมของนักวิชาการทางสังคมศาสตร์และการเคลื่อนไหวทางสังคมของขบวนการทางสังคมในปัจจุบัน มนุษย์คืออะไร? (What Is
Man) ซึ่งแปลโดยเอมอร นิรัญราช
จัดเป็นข้อเขียนชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของกรัมชี่
ที่ช่วยให้เราเข้าใจความคิดของกรัมชี่ได้ลึกซึ้งขึ้น
ผู้ที่คุ้นเคยกับวงการปรัชญาโลกอย่างแท้จริง
ย่อมตระหนักถึงความสำคัญของความคิดที่ผ่านข้อเขียนของริชาร์ด รอร์ตี นักปรัชญาร่วมสมัยผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง สำหรับบทความซึ่งแปลโดยบุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ชิ้นนี้ รอร์ตีได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
(The Communist Manifesto ) ว่า แม้จะเป็นหนังสือที่ให้คำทำนายที่ล้มเหลว
กล่าวคือ ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ว่าจะเกิดการปฏิวัติของชนชั้นผู้ใช้แรงงานที่ลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มระบบทุนนิยม
และเปลี่ยนแปลงระบบสังคมไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์ในท้ายที่สุด แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังเป็นมรดกโลกอันทรงคุณค่ายิ่งเช่นเดียวกับคัมภีร์ไบเบิลใหม่ ที่ควรให้ลูกหลานของเรา[4]ได้อ่าน เพราะเป็นหนังสือที่สร้างแรงดลใจสำคัญ
ทำให้เราเกิดความหวังอันประเสริฐ ในการที่จะรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และต่อสู้เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและความยุติธรรมทางสังคม หนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
ยังเหนือกว่าคัมภีร์ไบเบิลใหม่
เพราะให้ความสำคัญกับการสร้างโลกอุดมคติที่อยู่ในโลกนี้ โลกที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความห่วงใยใส่ใจอย่างเช่นที่เรามีต่อญาติมิตรของเรา แทนที่จะไปคาดหวังเลื่อนลอยกับชีวิตที่ดีกว่าในโลกหน้า
(เมื่อพระเจ้ามารับเราไปอยู่ด้วยในสรวงสวรรค์ ณ วันตัดสิน)
บทความนี้จัดได้ว่าเป็นตัวอย่างของการวิพากษ์กระแสมาร์กซิสม์จากกระแสความคิดแบบหลังสมัยใหม่
(Postmodernism) ที่มักถูกเข้าใจผิดจากผู้ที่ไม่ได้อ่านงานเหล่านี้อย่างเอาจริงเอาจังว่าไม่มีข้อเสนอทางสังคมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
รวมทั้งการนำเสนอโครงการทางสังคมเพื่อต่อสู้กับระบบที่ดำรงอยู่ ยิ่งกว่านั้น บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นอย่างแจ่มชัดถึงอิทธิพลและความสำคัญของความคิดของมาร์กซ์ว่ายังคงมีความหมายต่อเรามากเพียงไรในโลกยุคปัจจุบัน
อันเราไม่ควรละเลยหรือไม่ใส่ใจ
ในสังคมศาสตร์นั้น วิวาทะเรื่องโครงสร้างกับปัจเจกบุคคลตัวแทน
(Structure – Agency) เป็นวิวาทะสำคัญที่นำไปสู่แนวทางการศึกษาทางสังคมศาสตร์ที่แตกต่างกันสองแนวทางใหญ่ กล่าวคือ แนวทางวิธีการวิทยาแบบเน้นองค์รวม
(Holism) กับแนวทางวิธีการวิทยาแบบเน้นปัจเจก
(Methodological Individualism) ในส่วนของสายมาร์กซิสต์นั้น
แนวทางการวิเคราะห์แบบโครงสร้างนิยม (Structuralism) ที่ผ่านการนำเสนอโดยสำนักมาร์กซิสต์ฝรั่งเศสที่นำโดยลุยส์ อัลธูสแซร์
(Louis Althusser) นับเป็นแนวทางสำคัญแนวทางหนึ่ง[5] ที่มีอิทธิพลต่อกระแสมาร์กซิสต์ในครึ่งหลังของศตวรรษที่
20 วิวาทะโครงสร้าง/ปัจเจกได้รับการมองจากนักคิดอีกกลุ่มหนึ่งในปัจจุบันว่าเป็นวิวาทะที่อิงลักษณะแบบทวิลักษณ์นิยม
(Dualism) ซึ่งในตัวมันเองเป็นปัญหา นักคิดสำคัญในกระแสหลังโครงสร้างนิยม
(Poststructuralism)[6]
บางคนเช่นมิเชล ฟูโก (Michel Foucault) พยายามที่จะก้าวข้ามให้พ้นสิ่งที่เป็นข้อจำกัดของทวิลักษณ์นิยมดังเช่นการแบ่งเป็นมหภาค/จุลภาค ปัจเจกผู้กระทำการ/โครงสร้าง เป็นต้น บทความของเชษฐา พวงหัตถ์นำเสนอประเด็นการวิวาทะเรื่องโครงสร้าง/ปัจเจกผู้กระทำการ และการหาทางออกให้กับปัญหาทวิลักษณ์นิยม โดยชี้ให้เห็นว่ากระแสความคิดแบบมาร์กซิสต์มีปัญหาอย่างไรในแง่นี้
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผ่านความคิดของอัลธูสแซร์ [7] เชษฐาเสนอว่าฟูโกได้พยายามก้าวข้ามพ้นปัญหานี้ โดยการหันมาวิเคราะห์ปฏิบัติการทางสังคม
“ระดับกลาง” แทน โดยให้ความสำคัญกับสังคมที่มีลักษณะเฉพาะท้องถิ่นและเป็นกลุ่มย่อย ๆ และชี้ให้เห็นว่าทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจซึ่งเป็นความสัมพันธ์พื้นฐานได้อย่างไร บทความนี้เปิดประเด็นถกเถียงให้กับทั้งผู้สนใจความคิดในสายมาร์กซิสต์และผู้สนใจรากฐานของสังคมศาสตร์โดยทั่วไป
บทความประจำฉบับในส่วนที่สอง
จะเป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับความคิดและบทบาทของการเคลื่อนไหวของมาร์กซิสต์ไทยบางสาย
คือสายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยมุ่งสรุปบทเรียนทางประวัติศาสตร์
กล่าวได้ว่า การกำเนิดของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
(พคท.) ได้นำไปสู่การเคลื่อนไหวอย่างกว้างขวางของขบวนการปัญญาชน
และนำมาสู่การจัดตั้งของประชาชนระดับล่างอย่างมากมายและกว้างขวางที่สุด
อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
และเป็นครั้งแรกที่สังคมไทยมีองค์กรทางการเมืองลักษณะเช่นนี้ พคท.ยังเคยกระทั่งเป็นพรรคการเมืองที่ถูกกฎหมายในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีส.ส.ในนามพรรคอยู่ในรัฐสภา ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา พคท.ได้แสดงบทบาทสำคัญในฐานะพรรคการเมืองทางเลือกอย่างแท้จริง
และในการต่อสู้ในระยะที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดผลสะเทือนทางการเมืองต่อรัฐไทยสมัยใหม่อย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็นองค์กรทางการเมืองทวนกระแส
ที่ต่อต้านอำนาจรัฐของไทยที่เข้มแข็งที่สุด ในแง่นี้ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ดำเนินบทบาทในฐานะผู้รักชาติไทยที่พยายามสร้างรัฐไทยในรูปแบบที่แตกต่างไปจากรัฐบาลไทยในขณะนั้น
ๆ โดยให้ความสำคัญแรกสุดกับการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคทางสังคมและความยุติธรรมทางสังคม
ซึ่งรัฐบาลไทยในขณะนั้นกลับละเลยหรือเป็นตัวการในการสร้างความไม่เสมอภาคและความอยุติธรรมทางสังคมเอง นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของพคท.ยังสร้างผลสะเทือนให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองจนมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ตลอดจนมีการเร่งรัดพัฒนาในลักษณะต่าง ๆ ในชนบทโดยภาครัฐในสงครามช่วงชิง “มวลชน” บทความของสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้สรุปบทเรียนที่เราเรียนรู้ได้จากการดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยไว้อย่างแจ่มชัดและน่าสนใจยิ่ง
“มติการประชุมคณะกรรมการกลาง พคท. ชุดที่ 3 ครั้งที่ 4” หรือ “มติปี 19” ซึ่งเป็นเอกสารสรุปผลของการประชุมคณะกรรมการกลางฯ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นเอกสารสำคัญชิ้นหนึ่งที่ถูกละเลยจากผู้ที่เขียนงานเกี่ยวกับพคท.ในปัจจุบัน นอกจากเป็นการกำหนดแนวทางให้สมาชิกพรรคปฏิบัติการ
มติดังกล่าวนี้ยังให้เนื้อหาซึ่งพคท.ใช้ในการจัดการศึกษาให้กับผู้นำนักศึกษาและปัญญาชนเกือบทุกคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยอาวุธกับพคท.
หลังกรณี 6 ตุลาคม 2519 บทความของธิกานต์ ศรีนารา
ได้นำเสนอให้เห็นถึงความสำคัญของมติดังกล่าวที่เกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวของพคท.
ในต้นทศวรรษ 2520 อย่างลึกซึ้ง
ช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงระยะเวลาสำคัญช่วงหนึ่งก่อนจะไปถึงช่วงของการล่มสลายของพคท.ในเวลาต่อมา
ในส่วนของบทความพิเศษนั้นมีสองบทความ
บทความของบาหยัน อิ่มสำราญ ได้แสดงถึงความสำคัญของนวนิยายผู้อยู่เหนือเงื่อนไข ซึ่งสุภา ศิริมานนท์
นักหนังสือพิมพ์ผู้ยิ่งใหญ่และนักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพและสันติภาพในอดีตเป็นผู้เขียน
หนังสือเล่มนี้เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ซึ่งใช้ฉากเหตุการณ์จลาจลปลายสมัยกรุงธนบุรี
และอิงเรื่องเล่าขานที่ว่าพระเจ้าตากสินได้หลบหนีไปลี้ภัยทางภาคใต้เป็นแนวดำเนินเรื่อง
สุภาได้ผูกเรื่องให้พระเจ้ากรุงธนบุรีได้รับคำสั่งสอนจากคณะผู้ช่วยเหลือ
โดยนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการใช้อำนาจในทางที่ถูกต้องเป็นธรรม
และการปฏิบัติตนที่ไม่ทำตัวให้มีสถานะแบบเหนือมนุษย์ นวนิยายเรื่องนี้จึงจัดได้ว่าเป็นวรรณกรรมคำสอนพระราชานอกกระแสจารีต
อันแตกต่างไปจากวรรณกรรมในแนวนี้เล่มอื่น
ๆ
บทความของสุริยันต์ ปันเลห์ เป็นการศึกษาถึงตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดเสียงสระนาสิกในภาษาอีสาน
อันเป็นลักษณะเด่นของเสียงของภาษาท้องถิ่นอีสาน สุริยันต์ชี้ว่าเสียงสระนาสิกเหล่านี้เกิดขึ้นเองโดยปราศจากอิทธิพลของพยัญชนะนาสิก โดยตัวแปรสำคัญที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยเรื่องระดับของลิ้น
และความสั้นยาวของสระ รวมทั้งการใช้พยัญชนะในกลุ่มเสียงกัก และเสียงเสียดแทรก ความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจลักษณะของภาษาท้องถิ่นอีสานได้กระจ่างขึ้น
จำนวนผู้ใช้แรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายนับจากยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่
19 ภายใต้สภาพชีวิตที่ยากลำบากด้วยค่าแรงราคาถูก
โดยไร้สวัสดิการ รวมทั้งการมีสภาพแวดล้อมที่ทำงานที่ทำลายสุขภาพ ได้ทำให้เกิดแนวคิดสังคมนิยมต่าง
ๆ ขึ้นมากมาย รวมถึงสายมาร์กซิสม์ การต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานและปัญญาชนที่ก้าวหน้านำไปสู่การปฏิรูปทางสังคม
ทั้งในแง่ของการได้ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น การมีกะงานที่เหมาะสม ระบบสวัสดิการที่ดีขึ้น
สภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ดีขึ้น รวมถึงสิทธิในการจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อปกป้องสวัสดิการของผู้ใช้แรงงาน
สิทธิในการหยุดงานประท้วงเพื่อต่อรองผลประโยชน์ สภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ใช้แรงงานในที่ต่าง
ๆ ทั่วโลกนี้ได้มาโดยการเคลื่อนไหวต่อสู้ซึ่งถูกชี้นำโดยแนวคิดสังคมนิยม ผลจากการเคลื่อนไหวต่อสู้ดังกล่าวซึ่งมีผู้เสียสละชีวิตไปมากมายได้ทำให้สังคมโดยรวมมีระบบสวัสดิการสังคมที่ดีขึ้น
มีการเพิ่มเสรีภาพและสิทธิทางการเมืองพื้นฐานของพลเมืองทั่วไป นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธ
การเกิดรัฐสังคมนิยมขึ้น
ทำให้โลกทุนนิยมต้องเร่งการปฏิรูปทางสังคมเพื่อลดการท้าทายจากภายใน ในทุกวันนี้ คนงานในโลกตะวันตก
โดยเฉพาะในยุโรป มีระบบสวัสดิการที่ดีจนกระทั่งความคิดที่จะปฏิวัติสังคมแทบจะหมดไป แต่คนงานในประเทศโลกที่สามยังคงเผชิญสภาพความทุกข์ยากและการขาดสวัสดิการที่เพียงพออยู่ โลกในยุคปัจจุบันปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมยังคงดำรงอยู่ มีช่องว่างที่ถ่างกว้างขึ้นระหว่างประเทศรวยและประเทศจน ระหว่างคนรวยล้นเหลือกับคนยากไร้จนตรอกในประเทศยากจน
และกระทั่งในประเทศร่ำรวยเองเช่นสหรัฐอเมริกา ในยุคที่ระบบการผลิตของมนุษย์มีศักยภาพทำการผลิตอาหารได้ล้นเหลือ
ยังคงมีเด็กทารกแรกเกิดที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นานก็ต้องอดตายดังที่เกิดในประเทศแถบแอฟริกา
ยังมีคนยากไร้ไม่มีที่อยู่ ไม่มีสวัสดิการชีวิตอยู่ทั่วโลก รวมถึงในบ้านเรา ขณะที่คนกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
(รวมถึงบางคนในบ้านเรา) ซึ่งเป็นเพียงกลุ่มคนจำนวนน้อยมีรายได้เฉลี่ยต่อปีเท่ากับรายได้ของประชากรในประเทศโลกที่สามร่วมเกือบสามสิบประเทศ ระบบทุนนิยมไม่ได้ให้ประกันการแก้ปัญหานี้ และเราไม่ควรคาดหวังด้วยซ้ำไป เพราะหัวใจของระบบทุนนิยมคือการดำเนินการผลิตและการแสวงหากำไรเพื่อสั่งสมทุน
ต่อยอดทุน ทุนนิยมเป็นระบบที่ดำรงอยู่บนการยอมรับว่า
“ปลาใหญ่กินปลาเล็กและผู้ที่เข้มแข็งกว่า (มีทุนและสินทรัพย์มากกว่า)
เท่านั้นที่อยู่รอด” เป็นสัจธรรม เสรีภาพและความเสมอภาค ตลอดจนความยุติธรรมทางสังคมจึงไม่ใช่เป้าหมายโดยแท้จริงของระบบทุนนิยม “ทุนนิยมที่มีความเห็นอกเห็นใจ
(Compassionate Capitalism)” ดังเช่นที่นายกฯ ทักษิณอ้างอิงถึง จึงเป็นคำที่ขัดแย้งในตัวเองอย่างชัดเจน
และถ้าไม่ใช่เป็นเพราะความอ่อนด้อยทางวิชาการจนวิเคราะห์ไม่แตกก็เป็นได้เพียงแค่การล่อหลอกให้คนส่วนใหญ่หลงกลเพื่อให้ถูกใช้แสวงหาประโยชน์ต่อไปบนความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
เราจึงกล่าวได้ว่า ตราบเท่าที่คำถามที่ว่า ทำอย่างไร เราจึงจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมได้
ยังเป็นคำถามที่มีความหมายและเป็นคำถามหลัก ตราบนั้น ความคิดทางสังคมนิยมต่าง
ๆ โดยเฉพาะสังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์ ก็จะยังคงมีอิทธิพลและสร้างแรงดลใจต่อเราเสมอในการต่อสู้เพื่อโลกที่ดีขึ้น
ที่ความเป็นธรรมและประชาธิปไตยได้กลายเป็นโครงสร้างทางสังคมอย่างแท้จริง
ในแง่ของวิชาการ สังคมศาสตร์ที่อ้างว่าปลอดคุณค่าตัดสินนั้นเป็นเพียงการโกหกคำโตเท่านั้น
ความคิดทางสังคมศาสตร์แต่ละสกุลล้วนอิงพื้นฐานการยอมรับความสัมพันธ์ทางสังคมบางรูปแบบ
ซึ่งสะท้อนถึงคุณค่าพื้นฐานที่นักสังคมศาสตร์ในแนวนั้น ๆ ยึดถือ สิ่งที่สำคัญกว่าจึงไม่ใช่ความพยายามทำให้สังคมศาสตร์ปลอดจากการอิงการตัดสินคุณค่า
แต่เป็นความพยายามสร้างสังคมศาสตร์แบบที่มุ่งอธิบายและแสวงหาหนทางการปลดปล่อยมนุษย์จากสถานการณ์ที่ครอบงำและกดขี่มนุษย์ สังคมศาสตร์ที่เผยให้เราเห็นและช่วยให้เราพยายามเอาชนะสถานการณ์ที่จำกัดเสรีภาพมนุษย์ได้ เราต้องการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ไปพ้นระบบทุนนิยมร่วมสมัย
และการสร้างสังคมที่มีโครงสร้างพื้นฐานบนความความเห็นพ้องอย่างเป็นประชาธิปไตยที่มีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์โดยรวมของคนทั้งสังคม วิสัยทัศน์และนโยบายเกี่ยวกับสังคมในอนาคตควรมุ่งไปในทิศทางเช่นนี้
[1]
ใน Marx, Karl, and Frederick Engels. 1974 [1848]. Manifesto
of the communist party. In Karl Marx: The revolutions of 1848.
Political writing volume 1, David Fernbach, ed. Pp. 62-98. New York : Vintage Books.
สามารถดาวน์โหลดข้อเขียนชิ้นนี้ได้เช่นกันจาก
www.omhros.gr/Kat/History/Mod/Th/CommunistManifesto.htm
[2]
คำของเดวิด แม็คเลนแลน ใน McLellan, David. 1983. Karl
Marx: The legacy. London :
British Broadcasting Corporation.
[3]
การสร้างความเป็นพันธมิตรระหว่างชนชั้นเพื่อครองอำนาจทางการเมืองสาธารณะเหนือสังคมโดยรวม
โดยดำเนินการสร้างพันธมิตรในแบบที่มีชนชั้นนำชนชั้นหนึ่งแสดงบทบาทนำเหนือชนชั้นอื่น
และให้ประกันต่อการที่ชนชั้นอื่นที่เหลือที่มาเป็นพันธมิตรด้วยจะได้ประโยชน์ตอบกลับ
[4]
ในที่นี้รอร์ตีหมายถึงคนอเมริกันในสังคมอเมริกา
ซึ่งเสพทรัพยากรล้นเหลือ โดยดูดซับทรัพยากรมาปรนเปรอจากทั่วโลก แต่ “เรา” ในที่นี้ก็อาจขยายให้คลุมถึงกลุ่มชนอื่น ๆ ทั่วโลก
พวกที่มีทรัพยากรล้นเหลือให้เสพได้เช่นกัน
รวมถึงประดาชนชั้นกลางทั่วโลกที่เป็นฝ่ายได้ประโยชน์จากทุนนิยมโลกาภิวัตน์
[5]
กระแสมาร์กซิสต์ปัจจุบันที่เน้นวิธีการวิทยาแบบเน้นปัจเจก ได้แก่
กลุ่ม Analytic Marxian ซึ่งแตกต่างไปจากแนวทางของมาร์กซิสต์ส่วนใหญ่ที่มักเน้นองค์รวม
[6]
ความคิดหลังโครงสร้างนิยมมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นกระแสความคิดที่ทิ้งความคิดแบบโครงสร้างนิยม ที่จริง “หลัง-“ ในที่นี้หมายถึงการปรับแก้ความคิดบนฐานของโครงสร้างนิยม
โดยที่มโนทัศน์หลัก ๆ ของโครงสร้างนิยมยังถูกใช้เป็นฐานในการวิเคราะห์อยู่ เช่น
สัญญะหรือตัวหมายชี้ (Signifier) สิ่งที่ถูกชี้ถึง (Signified)
ความคิดหลังโครงสร้างนิยมจะปฏิเสธการมีตัวสิ่งที่ถูกชี้ถึงที่แท้จริงที่ใช้เป็นตัวตัดสินความถูกต้องในการตีความสัญญะในเรื่องนั้น
ๆ
และแสดงให้เห็นถึงการกลับบทบาทกันได้ระหว่างสัญญะกับสิ่งที่ถูกชี้ถึง
รวมทั้งการเลื่อนไหลทางความหมายของสัญญะและสิ่งที่ถูกชี้ถึง
[7] แม้ว่างานเขียนของฟูโกส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นการตอบโต้และถึงขั้นปฏิเสธแนวคิดมาร์กซิสม์ แต่ฟูโกเองก็ตอบไว้ชัดว่า “…ในปัจจุบันได้กลายเป็นกระแสนิยมไปแล้วที่จะผลักไสให้มาร์กซ์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับค่ายกักกันคุมขังมนุษย์ในยุคสมัยของเรา ผมน่าจะได้ใบประกาศของการเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดประเภทของการวิพากษ์แบบนั้น แต่นี่เป็นเรื่องที่ผิดพลาดโดยบริบูรณ์ กล่าวคือ ผมต้องการจำกัดขอบเขตของข้อสังเกตการณ์ของผมต่อความคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของมาร์กซ์เท่านั้น ผมไม่เคยพูดถึงมาร์กซิสม์และหากเคยใช้ศัพท์คำนี้ผมก็ใช้แค่เพื่ออ้างถึงประวัติศาสตร์ของเศรษฐศาสตร์การเมือง และขอบอกความจริงเลยว่า ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องงี่เง่าที่จะสนับสนุนเศรษฐศาสตร์มาร์กซิสต์ กล่าวคือ เพราะว่ามโนทัศน์พื้นฐานของเศรษฐศาสตร์มาร์กซิสต์และกฎเกณฑ์ทั่วไปของวาทกรรมของเศรษฐศาสตร์ดังกล่าว เป็นลักษณะของการก่อรูปทางวาทกรรมประเภทที่เกิดขึ้นโดยแรกสุดในช่วงยุคของริคาร์โด (Ricardo)
อย่างไรก็ตาม เป็นตัวมาร์กซ์เองที่ยืนยันว่าความคิดทางเศรษศาสตร์การเมืองของเขาโดยตัวหลักการพื้นฐานนั้นเป็นหนึ้ความคิดกับดาวิด ริคาร์โด” (ฟูโก ใน Foucault, Michel. 1991[1981]. Remarks on
Marx. Conversations with Duccio Trombadori. New York : Semiotext(e).)
No comments:
Post a Comment