Thursday, October 3, 2013

คำทำนายที่ล้มเหลว, ความหวังอันประเสริฐ: หนังสือสองเล่มที่เปลี่ยนแปลงโลก


หมายเหตุ บทความแปลนี้ผมแปลลงในวารสารอักษรศาสตร์  มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่  26 ฉบับที่ 2 (ธันวาคม 2546-พฤษภาคม 2547)
ฉบับมาร์กซิสม์ในศตวรรษที่ 21  หน้า 40- 73  ทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเคยขอไปลงในเว็บ แต่ปัจจุบันบทความในส่วน archive ของทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนยังไม่สามารถเข้าถึงได้


คำทำนายที่ล้มเหลว, ความหวังอันประเสริฐ ·
Failed Prophecies, Glorious Hopes
ริชาร์ด รอร์ตี·· -เขียน
Richard Rorty
บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์··· - แปล
Boonsong Chaisingkananont -Translate


              คำทำนายที่ล้มเหลวมักก่อให้เกิดการอ่านที่สร้างแรงดลใจอันนับค่าไม่ได้  ลองดูสักสองตัวอย่างต่อไปนี้ ได้แก่  กรณีของคัมภีร์ไบเบิลใหม่ (the New Testament) และหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (the Communist Manifesto) [1] หนังสือทั้งสองเล่มนี้ ตัวผู้เขียนต่างตั้งใจให้เป็นการทำนายถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น อันเป็นคำทำนายที่มีฐานอยู่บนการอ้างความรู้ที่เหนือกว่าในเรื่องเกี่ยวกับพลังซึ่งกำหนดประวัติศาสตร์มนุษย์  คำทำนายทั้งสองชุดนี้ ก็เป็นเพียงแค่ความเหลวไหลอันน่าหัวเราะ  การอ้างเป็นความรู้ของทั้งสองคำทำนายได้กลับกลายเป็นเรื่องอันชวนหัวไป

              พระคริสต์ไม่ได้กลับมาอีก ผู้ซึ่งอ้างว่าท่านกำลังจะกลับมา และอ้างว่าเป็นเรื่องที่ฉลาดรอบคอบที่จะมาเป็นสมาชิกของกลุ่มหรือนิกายเฉพาะเพื่อทิ่จะได้เตรียมการรับเหตุการณ์ดังกล่าว ต่างถูกมองอย่างน่าสงสัยได้อย่างเหมาะสม  แน่นอนว่าไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการกลับมาเป็นครั้งที่สองของพระคริสต์จักไม่บังเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ให้กับการกลับมาจุติ  แต่กระนั้น เราต่างก็ได้แต่เฝ้ารอคอยเหตุการณ์ดังกล่าว กันมานานแสนนานแล้ว

               โดยเทียบเคียงกัน ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่ามาร์กซ์กับเองเกลส์ผิดเมื่อพวกเขาป่าวประกาศว่า พวกกระฎุมพีได้หล่อหลอมอาวุธที่นำพาความตายกลับมาสู่พวกเขา  อาจเป็นได้ว่าโลกาภิวัตน์ของตลาดแรงงานในศตวรรษหน้าจะพลิกกลับกระบวนการอันรุดหน้าในการทำให้กรรมาชีพในยุโรปและอเมริกากลายเป็นกระฎุมพี  และอาจกลายเป็นความจริงที่ว่า พวกกระฎุมพีไม่อาจคงสถานะเป็นผู้ปกครองได้อีกต่อไป เนื่องจากพวกเขาไม่อาจแม้แต่สร้างความมั่นคงในการคงเหล่าทาสไว้ให้อยู่ภายใต้ความเป็นทาสอีกต่อไป  อาจเป็นได้ว่าการล่มสลายของระบบทุนนิยมและสมมติฐานเรื่องการได้อำนาจทางการเมืองโดยชนชั้นกรรมาชีพที่รู้แจ้งและทรงไว้ซึ่งความดี จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น   กล่าวอย่างสั้น ๆ  อาจเป็นไปได้ว่ามาร์กซ์กับเองเกลส์แค่กะเวลาการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวผิดไปหนึ่งหรือสองศตวรรษเท่านั้น  กระนั้น ทุนนิยมก็ได้เอาชนะเหนือวิกฤตมากมายในอดีตที่ผ่านมา และเรายังคงรอคอยกันมายาวนานนักสำหรับการกำเนิดขึ้นของชนชั้นกรรมาชีพดังกล่าว

              โดยเช่นเดียวกัน  ไม่มีเหล่าผู้เย้ยหยันคนใดจะสามารถมั่นใจได้ว่าสิ่งที่ชาวคริสต์ผู้เน้นศรัทธาเรียกกันว่า กลายเป็นตัวตนใหม่ในองค์พระเยซูนั้นจะไม่ใช่ประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์และเป็นการเปลี่ยนแปรอย่างแท้จริง  ถึงกระนั้น พวกที่อ้างว่าได้กลับมาเกิดใหม่ในวิถีแบบนี้ก็ดูเหมือนไม่ได้ประพฤติอะไรที่ดูแตกต่างไปจากวิถีที่พวกเขาได้เคยประพฤติมาในอดีตทั้ง ๆ ที่เราได้คาดหวังว่าจะแตกต่างไปจากเดิม

              โดยเทียบเคียงกัน เราไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะไม่เป็นจริงที่สักวันหนึ่งเราอาจจะได้แลเห็นอุดมคติใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาแทนที่สิ่งที่มาร์กซ์และเองเกลส์เรียกถึงอย่างไม่อยากเอาไว้ว่า ปัจเจกภาพแบบกระฎุมพี, ความอิสระแบบกระฎุมพี, และเสรีภาพแบบกระฎุมพี    แต่กระนั้นเราก็ได้รอคอยมาอย่างอดทนต่อระบอบการปกครองที่เรียกตัวเองว่า มาร์กซิสต์  ที่จะอธิบายกับเราอย่างแจ่มชัดว่าอุดมคติใหม่ ๆ นี้เป็นแบบใด  และจะถูกทำให้เป็นจริงในทางปฏิบัติได้อย่างไร  จวบจนปัจจุบันนี้ ระบอบการปกครองดังกล่าวทั้งหมดได้กลับกลายถดถอยสู่การเป็นอนารยะก่อนยุคแห่งการรู้แจ้ง (pre- Enlightenment  barbarism) เสียยิ่งกว่าจะเป็นแสงริบหรี่แรกสุดของสังคมอุดมคติในยุคหลังการรู้แจ้ง (a post- Enlightenment  utopia)

               แน่นอนว่ายังคงมีคนที่อ่านคัมภีร์ของชาวคริสต์เพื่อจะเข้าใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นทั่วไปในอีกสองสามปีหรือทศวรรษหน้า  คนอย่างโรนัลด์ รีแกนได้ทำเช่นนั้น นี่เป็นตัวอย่าง  จวบจนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ปัญญาชนจำนวนมากอ่านแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ก็ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน   ก็ดังเช่นที่ชาวคริสต์ได้ตักเตือนเราอย่างอดทนและประกันกับเราว่า เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมที่จะตัดสินพระเยซูโดยดูจากความผิดที่ผู้รับใช้ท่านที่ชั่วร้ายได้กระทำ ชาวมาร์กซิสต์ก็เช่นเดียวกันได้ประกันกับเราว่า ระบอบการปกครองแบบมาร์กซิสต์ที่มีมาจนถึงปัจจุบันเป็นเพียงการบิดเบือนอย่างไร้สาระไปจากความตั้งใจของมาร์กซ์  ชาวมาร์กซิสต์ที่ยังหลงเหลืออยู่จำนวนน้อยในบัดนี้ยืนยันว่าพรรคคอมมิวนิสต์ของเลนิน เหมา และคาสโตรนั้น ไม่มีอะไรที่คล้ายคลึงเลยกับชนชั้นกรรมาชีพที่ได้อำนาจตามแบบที่มาร์กซ์ฝันไว้  และยังเป็นเพียงแค่เครื่องมือของเอกาธิปัตย์หรือคณาธิปัตย์เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม พวกเขาบอกกับเราว่า สักวันหนึ่งจักมีพรรคกรรมาชีพที่แท้จริง อันพรรคปฏิวัติที่แท้จริงบังเกิดขึ้น  พรรคซึ่งเมื่อชนะจะนำเสรีภาพมาให้เรา อันเป็นเสรีภาพที่ไม่เหมือนกับ เสรีภาพของกระฎุมพี  ดังเช่นเดียวกันกับที่คำสั่งสอนของศาสนาคริสต์สอนไว้ว่ามีแต่เพียงความรักเท่านั้นที่เป็นกฎ ไม่ใช่กฎที่ถูกกำหนดตามอำเภอใจในเลวิติคัส (Leviticus)[2]

              พวกเราส่วนใหญ่ไม่อาจยึดถืออย่างเอาจริงเอาจังกับคำทำนายที่เลื่อนเวลาออกไปหรือการให้ประกันซ้ำไม่ว่าจะเป็นของชาวคริสต์หรือชาวมาร์กซิสต์   แต่การทำเช่นนี้ก็ไม่ได้, และไม่สมควรด้วยที่จะ, กันเราจากการค้นหาแรงดลใจและการเสริมกำลังใจจากคัมภีร์ไบเบิลใหม่และหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์  เพราะว่าเอกสารทั้งสองชิ้นนี้เป็นการแสดงออกของความหวังเดียวกัน กล่าวคือ ความหวังที่ว่าสักวันหนึ่งเราจะมีเจตจำนงและสามารถปฏิบัติต่อความต้องการของมนุษย์ทั้งปวงด้วยความเคารพและนับถือในแบบที่เราปฏิบัติต่อบุคคลที่ใกล้ชิด บุคคลที่เป็นที่รักของเรา

              ข้อเขียนทั้งสองชิ้นได้รวบรวมพลังที่สร้างแรงดลใจอันยิ่งใหญ่กว่าเมื่อวันเวลาได้ผ่านพ้นไป  เพราะแต่ละเล่มต่างเป็นเอกสารที่วางรากฐานให้กับขบวนการซึ่งได้ทำอะไรไว้มากมายเพื่อเสรีภาพของมนุษย์และความเสมอภาคของมนุษย์   ในปัจจุบันนี้, โดยขอบคุณสำหรับการเพิ่มขึ้นของประชากรนับจากปี 1848 เป็นต้น, เอกสารทั้งสองชิ้นอาจสร้างแรงดลใจต่อชายและหญิงที่กล้าหาญและยอมอุทิศตนเองในจำนวนที่ไม่น้อยไปกว่าเดิม  ที่จะเสี่ยงชีวิตและโชคเคราะห์เพื่อปกป้องชนรุ่นอนาคตจากความทุกข์ระทมที่ไม่เป็นที่ต้องการที่ยืนยงมา  อาจจะมีนักสังคมนิยมผู้เสียสละมากมายพอกันกับชาวคริสต์ผู้เสียสละได้เกิดขึ้นแล้ว หากความหวังของมนุษย์สามารถอยู่รอดฝ่าหัวรบพ่วงเชื้อโรคแอนแทรกซ์ อุปกรณ์นิวเคลียร์ขนาดกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ภาวะประชากรล้นเกิน สภาพตลาดแรงงานโลกาภิวัตน์ ตลอดจนสภาพเสื่อมโทรมทางด้านสิ่งแวดล้อมของศตวรรษที่กำลังมาถึง หากเรามีผู้สืบสายเลือด ผู้ซึ่งอีกศตวรรษนับจากนี้ ยังคงมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ไว้เพื่อปรึกษาและยังคงสามารถแสวงหาแรงดลใจจากอดีต  บางทีพวกเขาจะนึกถึงเซนต์แอกเนส (Saint Agnes)[3]  และโรซา ลุกเซมเบอร์ก (Rosa Luxemburg)[4],  เซนต์ ฟรานซิส (Saint Francis)[5]  และยูยีน เด็บส์ (Eugene Debs)[6], คุณพ่อดาเมียน (Father Damien)[7]  และฌอง เฌาแรส (Jean Jaurès)[8], ในฐานะที่เป็นสมาชิกของขบวนการเดียวกัน

              ดังเช่นที่ไบเบิลใหม่ยังคงได้รับการอ่านโดยผู้คนนับล้าน ผู้ซึ่งให้เวลาแค่น้อยนิดที่จะกังขาว่าสักวันหนึ่งพระคริสต์จะกลับมาอย่างเลื่องระบือหรือไม่  โดยเช่นเดียวกันแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังคงได้รับการอ่านแม้แต่ในหมู่ของพวกเราผู้ที่คาดหวังและเชื่อว่าความยุติธรรมทางสังคมโดยบริบูรณ์นั้นสามารถทำให้บรรลุได้โดยปราศจากการปฏิวัติในประเภทที่มาร์กซ์ทำนายไว้ ที่ว่าสังคมไร้ชนชั้น อันเป็นโลกซึ่ง พัฒนาการอย่างเสรีของมนุษย์แต่ละคนเป็นสภาพการณ์ของพัฒนาการอย่างเสรีของมนุษย์ทุกคนจะสามารถเกิดขึ้นในฐานะที่เป็นผลของสิ่งที่มาร์กซ์ชิงชังว่าเป็นการปฏิรูปแบบกระฎุมพี   พ่อแม่และครูควรส่งเสริมให้เยาวชนได้อ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้ ผู้เยาว์จักดีขึ้นทางศีลธรรมหากได้อ่านหนังสือดังกล่าว

              เราควรเลี้ยงลูกหลานของเราให้ค้นพบว่า เป็นเรื่องที่ทนรับไม่ได้ที่เราผู้ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะและแป้นพิมพ์ได้ค่าจ้างเป็นสิบเท่ามากกว่าคนซึ่งมือต้องเปื้อนสกปรกในการทำความสะอาดห้องน้ำของเรา และได้ค่าจ้างเป็นร้อยเท่ามากกว่าผู้ซึ่งประกอบแป้นพิมพ์ของเราที่อยู่ในแถบโลกที่สาม เราควรทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะกังวลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศที่ปรับเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมก่อนใครอื่นมีสินทรัพย์นับร้อยเท่าเมื่อเทียบกับประเทศที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรม  ลูกหลานของเราต้องการที่จะได้เรียนรู้แต่เนิ่น ๆ เพื่อมองเห็นถึงความไม่เสมอภาคระหว่างโชคของพวกเขากับของเด็กอื่น ๆ  ว่าไม่ได้เป็นทั้งผลจากเจตจำนงของพระเจ้าหรือราคาที่จำเป็นที่ต้องจ่ายไปสำหรับความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ  แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  พวกเขาควรตั้งต้นคิดแต่เนิ่น ๆ ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เกี่ยวกับว่าโลกควรจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  เพื่อที่ว่าจะได้ให้ความมั่นใจว่าจะไม่มีใครยังคงหิวโหยในขณะที่คนอื่นมีอย่างเหลือล้น

              ลูกหลานของเราจำเป็นที่จะต้องอ่านสารเรื่องภราดรภาพของมนุษย์ของพระคริสต์ไปกันกับของมาร์กซ์และเองเกลส์ในเรื่องที่ว่าทุนนิยมอุตสาหกรรมและตลาดเสรี- อย่างจำเป็นดังที่มันได้เป็นไป - ได้สร้างความยากลำบากยิ่งอย่างไรต่อการจะจัดการให้เกิดภราดรภาพดังกล่าว  พวกเขาจำเป็นต้องมองชีวิตของพวกเขาในฐานะที่ถูกให้ความหมายโดยความพยายามที่มุ่งทำให้ศักยภาพทางศีลธรรมที่ตกทอดมาในความสามารถของเราในการสื่อสารความต้องการของเราและความหวังของเราสู่คนอื่น ๆ เกิดเป็นรูปธรรมได้จริง  พวกเขาควรเรียนรู้ทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับการชุมนุมพบปะกันของชาวคริสต์ ณ โพรงใต้ดิน และเรื่องเกี่ยวกับการชุมนุมของผู้ใช้แรงงาน ณ สี่แยกกลางเมือง  เพราะทั้งสองเรื่องต่างมีบทบาทสำคัญอย่างเท่า ๆ กันในกระบวนการอันยาวนานในการทำให้ศักยภาพดังกล่าวนี้เป็นจริง

              คุณค่าในเชิงแรงดลใจของคัมภีร์ไบเบิลใหม่และแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์นั้นไม่ถูกลดทอนลงไปโดยข้อเท็จจริงที่ว่าคนหลายล้านคนถูกบังคับเยี่ยงทาส ทรมาน และอดอาหารจนตายด้วยน้ำมือของคนผู้มีความตั้งใจจริงอย่างมีศีลธรรมและซื่อสัตย์ ผู้ซึ่งท่องข้อความจากหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งเพื่อที่จะได้ให้ความชอบธรรมกับการกระทำของพวกเขา  ความทรงจำถึงห้องใต้ตึกที่จำขังนักโทษในการไต่สวนของพวกบาทหลวงและห้องสอบสวนของพวกเคจีบี (KGB) ความทรงจำถึงความละโมบอันอำมหิตและความหยิ่งยะโสของพวกพระชาวคริสต์ และของพวกคอมมิวนิสต์ผู้คุ้มกัน     จริง ๆ แล้ว ความทรงจำดังกล่าวนี้ควรทำให้เราอึกอักใจที่จะส่งมอบอำนาจให้กับพวกที่อ้างว่ารู้ว่าพระเจ้าหรือประวัติศาสตร์ ต้องการอะไร   ทว่ามีความแตกต่างระหว่างความรู้กับความหวัง ความหวังมักจะอยู่ในรูปลักษณ์ของคำทำนายที่ผิดพลาด ดังที่เกิดกับเอกสารทั้งสองเล่มดังกล่าว  แต่อย่างไรก็ตาม ความหวังต่อความยุติธรรมทางสังคมก็เป็นพื้นฐานเพียงพื้นฐานเดียวเท่านั้นสำหรับชีวิตมนุษย์ที่มีคุณค่า

              ศาสนาคริสต์และมาร์กซิสม์ยังคงมีพลังที่จะสร้างภัยใหญ่ ๆ ได้  เพราะทั้งคัมภีร์ไบเบิลใหม่และแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงสามารถถูกนำไปอ้างอย่างส่งผลโดยพวกมือถือสากปากถือศีลทางศีลธรรมและพวกนักเลงโตที่หลงตัวเอง  ยกตัวอย่างเช่นในอเมริกา องค์กรที่เรียกว่าพันธมิตรคริสเตียน (the Christian Coalition) ยึดกุมพรรครีปับลิกัน (และดังนั้น รัฐสภา) เอาไว้ในอุ้งมือ  ผู้นำของขบวนการนี้ได้สร้างความเชื่อให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งนับล้านคนว่าการเก็บภาษีคนที่อยู่แถบชานเมืองเพื่อช่วยพวกชนส่วนน้อยเป็นการกระทำที่ไม่ใช่ของคริสเตียน  ภายใต้นามของ คุณค่าแบบครอบครัวคริสเตียน  พันธมิตรคริสเตียนสอนว่า การที่รัฐบาลอเมริกาที่จะให้การช่วยเหลือลูกหลานของประดาแม่วัยรุ่นที่ท้องนอกสมรสและว่างงานจะเป็นการ สลายความรับผิดชอบอย่างปัจเจกไป

              กิจกรรมของพันธมิตรคริสเตียนมีความรุนแรงน้อยกว่าของขบวนการเซนเดโร ลูมิโนโซ (Sendero Luminoso) ในเปรู ที่จวนเจียนจะสูญพันธุ์ในปัจจุบัน   แต่ผลจากกิจกรรมของพันธมิตรคริสเตียนนั้นส่งผลเชิงทำลายเช่นเดียวกัน  เซนเดโร ลูมิโนโซ ในช่วงรุ่งเรืองอันน่ากลัวนั้น นำโดยอาจารย์สอนปรัชญาผู้บ้าคลั่งผู้ที่คิดว่าตัวเขาเป็นผู้สืบทอดความคิดจากเลนินและเหมา ในฐานะที่เป็นผู้ตีความร่วมสมัยที่ได้แรงดลใจจากข้อเขียนของมาร์กซ์   พันธมิตรคริสเตียนนั้นนำโดยสาธุคุณแพท โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) นักเทศน์ทางโทรทัศน์ที่ดูน่าเคารพ ผู้เป็นนักตีความไบเบิลร่วมสมัย ผู้ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นผู้ก่อให้เกิดความทุกข์ระทมในอเมริกาได้มากกว่าที่อาเบียล กุสมาน (Abiel Guzman) จัดการให้เกิดขึ้นในเปรู

              กล่าวโดยสรุป เมื่ออ่านคัมภีร์ไบเบิลใหม่และแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์  เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ใส่ใจกับผู้พยากรณ์ผู้อ้างตนเป็นผู้ตีความที่ถูกต้องของงานเล่มหนึ่งใดดังกล่าว  เมื่ออ่านงานดังกล่าวเอง เราควรข้ามผ่านส่วนคำทำนายไปอย่างง่ายดาย และมุ่งความสนใจที่ส่วนการแสดงออกของความหวัง เราควรอ่านงานทั้งสองเล่มในฐานะที่เป็นเอกสารที่สร้างแรงดลใจ ที่อุทธรณ์ถึงสิ่งที่ลินคอล์น[9]เรียกว่า เทพที่ดีกว่าแห่งธรรมชาติของเรา  มากกว่าที่จะเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องแน่นอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์หรือของชะตากรรมมนุษย์

              หากเราถือเอาคำว่า ศาสนาคริสต์เป็นชื่อของการอุทธรณ์แบบหนึ่งข้างต้น ยิ่งกว่าจะเป็นการอ้างเป็นความรู้แล้วละก็ คำดังกล่าวก็จะยังคงเป็นการเรียกชื่อพลังอันทรงอำนาจที่ดำเนินการไปเพื่อการปฏิบัติอันเหมาะสมของมนุษย์และความเสมอภาคของมนุษย์   โดยการพิจารณาในแบบเดียวกัน สังคมนิยมก็คือชื่อของพลังเดียวกัน อันเป็นชื่อที่แจ่มชัดและปรับปรุงให้ทันสมัยกว่านั่นเอง   คำ สังคมนิยมที่เป็นคริสต์’ (Christian Socialism) เป็นคำที่ยืดยาด กล่าวคือ  ในปัจจุบันนี้คุณไม่อาจคาดหวังภราดรภาพดังเช่นที่คำสอนของพระเยซูสอนไว้โดยปราศจากการคาดหวังให้รัฐบาลประชาธิปไตยทำการกระจายทรัพย์สินและโอกาสทางสังคมขึ้นใหม่ในแบบที่ระบบตลาดไม่เคยทำ  ไม่มีทางที่เราจะยึดถือคัมภีร์ไบเบิลใหม่อย่างเอาจริงเอาจังในฐานะที่เป็นข้อกำหนดทางศีลธรรม ยิ่งกว่าเป็นคำทำนายได้ หากปราศจากการเน้นความต้องการการกระจายทรัพยากรขึ้นใหม่อย่างเสมอภาคกันดังว่ามาอย่างเอาจริงเอาจัง

              ผ่านกาลเวลามาดังเช่นหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ หนังสือเล่มนี้ยังคงเป็นการประกาศอย่างน่าชื่นชมเกี่ยวกับบทเรียนที่เราได้เรียนรู้จากการเฝ้ามองทุนนิยมอุตสาหกรรมที่ดำเนินการอยู่ กล่าวคือ การโค่นล้มรัฐบาลแบบอำนาจนิยมและการได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะให้ประกันความเสมอภาคของมนุษย์หรือการปฏิบัติที่เหมาะสมของมนุษย์  ยังคงเป็นความจริงอยู่ดังเช่นที่เคยเป็นเมื่อปี 1848 ที่ว่าคนรวยจะพยายามที่จะรวยมากขึ้นโดยทำให้คนจนจนลงเสมอ  ที่ว่าการทำให้แรงงานกลายเป็นสินค้าโดยบริบูรณ์จะนำไปสู่การสร้างความยากไร้ให้กับพวกกินเงินเดือน  และที่ว่าฝ่ายบริหารของรัฐสมัยใหม่ก็เป็นเพียงแค่คณะกรรมการเพื่อจัดการกิจการทั่วไปของพวกกระฎุมพีโดยรวมเท่านั้น

              เดี๋ยวนี้การแบ่งเป็นกระฎุมพี- กรรมาชีพอาจเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้วดังเช่นเดียวกับการแบ่งเป็นพวกนอกรีต- ชาวคริสต์   ทว่าหากใครลองเอาคำว่า คนที่รวยที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์ไปใส่แทนคำว่า กระฎุมพี  เอา คนอื่น ๆ ที่เหลืออีก 80 เปอร์เซ็นต์ไปใส่แทน กรรมาชีพ  ข้อความส่วนใหญ่ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จะยังคงส่งเสียงกังวานอยู่ (อย่างไรก็ตาม อย่างที่เป็นที่ยอมรับกัน มันกังวานอย่างแผ่วกว่าในรัฐสวัสดิการที่พัฒนาเต็มที่แล้วดังเช่นเยอรมนี และกังวานมากกว่าในอเมริกา อันเป็นสถานที่ซึ่งความละโมบยังคงได้เปรียบ และเป็นสถานที่ซึ่งรัฐสวัสดิการยังคงอยู่แค่ในขั้นต้น)   การกล่าวว่าประวัติศาสตร์เป็น ประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางชนชั้นยังคงเป็นความจริง  หากถูกตีความให้หมายความว่า  ในทุก ๆ วัฒนธรรม ภายใต้ทุกรูปแบบการปกครอง และในทุกสถานการณ์ที่จินตนาการได้ (ยกตัวอย่างเช่น ในอังกฤษ เมื่อกษัตริย์เฮ็นรี่ที่ 8 สลายสำนักสงฆ์   ในอินโดนีเซีย เมื่อพวกดัตช์ถอนตัวกลับบ้านไป  ในจีน หลังเหมาเจ๋อตงตาย  ในอังกฤษและอเมริกาภายใต้แธ็ตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรีและรีแกนเป็นประธานาธิบดี) คนผู้ที่ได้เงินและอำนาจแล้วจะโกหก โกง และลักขโมย เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาว่าพวกเขาและทายาทผู้สืบทอดจะยังคงผูกขาดทั้งเงินและอำนาจได้ตลอดไป

              ตราบเท่าที่ประวัติศาสตร์ยังแสดงถึงภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจทางศีลธรรม  ประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหยุดยั้งการผูกขาดดังกล่าว การใช้หลักการของชาวคริสต์เพื่อโต้แย้งให้เลิกล้มการมีทาส (และใช้โต้แย้งกฎหมายของอเมริกาที่เทียบได้กับกฎหมายนูเรมเบอร์ก (Nuremberg Laws)[10] ว่าเป็นกฎหมายแบ่งแยกชาติพันธุ์) แสดงถึงศาสนาคริสต์ในส่วนที่ดีที่สุด  การใช้หลักการของมาร์กซิสต์เพื่อยกระดับจิตสำนึกของผู้ใช้แรงงาน เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นอย่างแจ่มชัดว่าพวกเขาถูกโกงอย่างไรนั้น แสดงถึงมาร์กซิสม์ในส่วนที่ดีที่สุด    เมื่อทั้งสองลัทธิได้ร่วมมือกัน   ดังที่พวกเขาได้กระทำในขบวนการ ‘Social Gospel’ [11]  ในเทววิทยาของพอล ติลลิช (Paul Tillich)[12]  และวัลเตอร์ เราส์เชนบุสช์ (Walter Rauschenbusch)[13]   และในสาส์นของสันตปาปาส่วนที่มีเนื้อหาเป็นสังคมนิยมอย่างที่สุด  พวกเขาได้ทำให้การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความยุติธรรมทางสังคมก้าวข้ามพ้นการโต้เถียงกันระหว่างเทวนิยมและอเทวนิยม  การโต้เถียงกันดังกล่าวควรถูกก้าวข้ามพ้น กล่าวคือ เราควรอ่านคัมภีร์ไบเบิลใหม่ในฐานะที่สอนว่าเราควรปฏิบัติต่อกันและกันในเรื่องทางโลกอย่างไรให้มากกว่าผลจากการถกเถียงในเรื่องเกี่ยวกับการมีอยู่หรือธรรมชาติของโลกหน้า

              ขบวนการสหภาพแรงงาน ซึ่งมาร์กซ์และเองเกลส์คิดว่าเป็นเพียงแค่ทางผ่านไปสู่การก่อตั้งพรรคการเมืองที่ปฏิวัตินั้น ได้กลายเป็นการก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมของคุณธรรมแบบชาวคริสต์ในเรื่องการเสียสละตนและความรักมนุษย์เช่นพี่น้อง (fraternal agape ) อันสร้างแรงดลใจอย่างที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมีบันทึกถึง  กล่าวในทางศีลธรรมแล้ว การกำเนิดขึ้นของสหภาพแรงงานเป็นพัฒนาการที่ช่วยส่งเสริมมากที่สุดในยุคสมัยใหม่  เป็นสิ่งประจักษ์ถึงความเป็นวีรชนอันไร้ความเห็นแก่ตัวมากที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุด แม้ว่าสหภาพจำนวนมากได้กลายเป็นพวกฉ้อฉล และอีกจำนวนมากเหลือแค่โครง   ความสูงส่งทางศีลธรรมแห่งหอคอยของชาวสหภาพแรงงานก็ยังอยู่เหนือกว่าของศาสนจักรและบรรษัท รัฐบาลและมหาวิทยาลัย  เพราะว่าสหภาพแรงงานได้รับการก่อตั้งโดยบุรุษและสตรีผู้ซึ่งมีสิ่งมากมายให้ต้องสูญเสียไป กล่าวคือ พวกเขาเสี่ยงที่จะสูญเสียโอกาสทางการงานไปด้วยกัน โอกาสที่จะหาอาหารกลับไปบ้านให้ครอบครัวของพวกเขา พวกเขายอมเสี่ยงดังกล่าวเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของมนุษย์  พวกเราต่างติดค้างหนี้บุญคุณต่อพวกเขา องค์กรที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมามีความศักดิ์สิทธิ์โดยการเสียสละตนของพวกเขา

              แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ให้แรงดลใจผู้ก่อตั้งของสหภาพแรงงานใหญ่ ๆ จำนวนมากที่สุดในยุคสมัยใหม่  โดยการอ้างอิงถ้อยคำจากหนังสือเล่มนี้ ผู้ก่อตั้งสหภาพสามารถชักนำคนนับล้านออกไปประท้วงต่อต้านสภาพการณ์ที่เลวร้ายและค่าจ้างที่ไม่พอยาไส้ ถ้อยคำเหล่านี้ค้ำจุนศรัทธาของผู้ประท้วงว่าการเสียสละตน กล่าวคือ  ความมุ่งมั่นของพวกเขาที่จะเห็นลูกหลานของพวกเขาเคลื่อนไหวโดยปราศจากอาหารที่เพียงพอแทนที่จะยอมให้กับความต้องการของเจ้าของทุนที่ต้องการการได้กลับคืนที่มากขึ้นเพื่อใช้ในการลงทุน การเสียสละดังกล่าวนี้จักไม่สูญเปล่า  เอกสารที่ได้ให้ความสำเร็จมากมายเช่นนี้จะยังคงตกทอดเป็นส่วนหนึ่งของทรัพสมบัติที่เป็นมรดกทางสติปัญญาและจิตวิญญาณของเราต่อไป เพราะว่าแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์อธิบายในสิ่งที่ผู้ใช้แรงงานค่อย ๆ ตระหนักรู้ต่อมา กล่าวคือ ที่ว่า แทนที่จะพุ่งทะยานไปกับความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมผู้ใช้แรงงานกลับเผชิญอันตรายจาก การจมลึกลง ลึกลงไป ต่ำกว่าสภาพการณ์ของการดำรงชีวิตของชนชั้นของพวกเขาเอง  อันตรายดังกล่าวนี้ถูกหลีกเลี่ยงอย่างน้อยเป็นการชั่วคราวในยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยต้องขอบคุณต่อความกล้าหาญของเหล่าผู้ใช้แรงงานผู้ซึ่งได้อ่านแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ และโดยผลจากการอ่านดังกล่าวพวกเขาได้รับการกระตุ้นให้มีความกล้าที่จะเรียกร้องการมีส่วนแบ่งในอำนาจของพวกเขา หากพวกเขาเอาแต่รอความการุณแบบชาวคริสต์และการทำทานของพวกที่เหนือกว่า ลูกหลานของพวกเขาก็จะยังคงไร้การศึกษาและถูกเลี้ยงดูอย่างเลวร้าย

              ถ้อยคำจากไบเบิลใหม่และจากแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์อาจให้ความกล้าหาญและแรงดลใจในปริมาณที่เท่ากัน  แต่มีหลายประเด็นที่แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์เป็นหนังสือที่ดีกว่าไบเบิลใหม่ที่จะให้ลูกหลานของเราได้อ่าน เพราะหนังสือเล่มหลังมีช่องโหว่ทางศีลธรรมโดยการเน้นที่โลกอื่น ด้วยการเสนอว่าเราสามารถแยกคำถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราแต่ละคนกับพระเจ้า  -กล่าวคือ โอกาสของเราแต่ละคนในการรอดพ้นทางวิญญาณ-   ออกจากการมีส่วนร่วมของเราในความพยายามร่วมแรงกันที่จะหยุดยั้งความทุกข์ยากอันไม่เป็นที่ต้องการ  หลายตอนในไบเบิลใหม่ให้การชี้แนะต่อพวกนายทาสว่าพวกเขาสามารถคงสิทธิในการเฆี่ยนทาสของพวกเขา และต่อคนรวยว่าพวกเขาสามารถคงสิทธิในการให้คนจนอดตาย เพราะว่าอย่างไรก็ตามพวกเขากำลังจะได้ไปสวรรค์ บาปของพวกเขาจะได้รับการให้อภัยโดยเป็นผลจากการยอมรับพระคริสต์ในฐานะพระเจ้า

              ไบเบิลใหม่ อันเป็นเอกสารของโลกโบราณ ยอมรับความเชื่อสำคัญความเชื่อหนึ่งของนักปรัชญากรีกพวกที่แนะนำว่าการมุ่งหมายสู่ความจริงสากลนั้นเป็นชีวิตอุดมคติของมนุษย์       ความเชื่อเช่นนี้มีฐานอยู่บนข้อยอมรับเบื้องต้นว่าสภาพการณ์ทางสังคมของชีวิตมนุษย์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่สำคัญใด ๆ  กล่าวคือ เราจะมีคนจนอยู่ร่วมกับเราเสมอ  และบางทีทาสก็เช่นกัน  ความเชื่อเช่นนี้ชี้นำผู้เขียนไบเบิลใหม่ให้หันเหความสนใจของพวกเขาจากความเป็นไปได้ของอนาคตมนุษย์ที่ดีขึ้นไปสู่ความคาดหวังอันเลื่อนลอยเมื่อเราตาย โลกอุดมคติเดียวที่ผู้เขียนเหล่านี้สามารถจินตนาการถึงก็คือการอยู่ในโลกหน้าด้วยกัน

              เราคนสมัยใหม่มีความเหนือกว่าคนโบราณทั้งที่เป็นพวกนอกรีตหรือชาวคริสต์  ในแง่ของความสามารถที่จะจินตนาการถึงสังคมอุดมคติที่อยู่บนพื้นพิภพ  ศตวรรษที่สิบแปดและสิบเก้าเป็นประจักษ์, ในยุโรปและอเมริกา, ถึงการเปลี่ยนย้ายใหญ่ตำแหน่งของความหวังมนุษย์  กล่าวคือ การเปลี่ยนย้ายจากนิรันตรภาพไปสู่เวลาในอนาคต จากการคาดการณ์เกี่ยวกับว่าจะทำอย่างไรจึงจะชนะใจพระเจ้าไปสู่การวางแผนเพื่อความสุขของชนรุ่นถัดไป  นัยดังกล่าวที่ว่าอนาคตของมนุษย์สามารถทำให้แตกต่างจากอดีตของมนุษย์ โดยไม่อาศัยการช่วยเหลือจากพลังที่ไม่ใช่มนุษย์นั้น ได้รับการแสดงออกไว้อย่างสง่างามในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์

              แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากเราสามารถค้นพบเอกสารใหม่ที่ให้แรงดลใจและความหวังกับลูกหลานของเราได้  เอกสารซึ่งปลอดจากข้อบกพร่องของไบเบิลใหม่  เช่นเดียวกับของแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์  เป็นเรื่องดีที่จะมีเอกสารที่ปรับปรุงขึ้น เอกสารซึ่งขาดลักษณะการหยั่งเห็นการณ์ล่วงหน้าอย่างที่เอกสารทั้งสองเล่มมี กล่าวคือ เป็นเอกสารที่ไม่เสนอว่าทุก ๆ สิ่งต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ หรือที่ว่าความยุติธรรม สามารถจะบรรลุได้ก็แต่โดยการโค่นล้มสภาวะทางสังคมที่ดำรงอยู่ทั้งปวงโดยการใช้กำลัง  เป็นเรื่องดีที่จะมีเอกสารทิ่อธิบายถึงรายละเอียดของสังคมอุดมคติที่อยู่ในโลกนี้โดยปราศจากการให้ประกันกับเราว่าสังคมอุดมคติดังกล่าวจักบังเกิดขึ้นอย่างเต็มที่และอย่างรวดเร็วทันทีที่การเปลี่ยนแปลงฉับพลันคราวเดียวได้เกิดขึ้น กล่าวคือ ทันทีที่ทรัพย์สินส่วนบุคคลถูกสลาย หรือทันทีที่เราได้ยอมรับพระเยซูเข้าสู่หัวใจของเราอย่างเต็มเปี่ยม

              กล่าวโดยสั้น ๆ  เป็นการดีที่สุด หากเราสามารถดำเนินไปโดยปราศจากการทำนายและการอ้างความรู้ในเรื่องพลังที่กำหนดประวัติศาสตร์ กล่าวคือ หากความหวังอันการุณจักสามารถค้ำจุนตัวเองโดยปราศจากการทำให้มั่นใจ  บางทีสักวันหนึ่งเราจะมีหนังสือเล่มใหม่ให้กับลูกหลานของเรา หนังสือเล่มทิ่ละเว้นการทำนายแต่ก็ยังคงแสดงออกถึงการหวนหาภราดรภาพดังเดิมดังที่ไบเบิลใหม่ได้แสดงไว้  และได้รับการเพิ่มเติมด้วยคำบรรยายอันแหลมคมถึงรูปแบบล่าสุดของความไร้มนุษยธรรมที่มีต่อกันและกันดังเช่นที่แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ได้บรรยายไว้   แต่ในระหว่างนี้ เราควรขอบคุณหนังสือทั้งสองเล่มดังกล่าวที่ได้ช่วยทำให้เราดีขึ้น กล่าวคือ ช่วยให้เราเอาชัยชนะได้ในระดับหนึ่งต่อความเห็นแก่ตัวอันโหดร้ายของเราและความซาดิสม์ที่ถูกเพาะบ่มไว้ของเรา


             





· บทความนี้รอร์ตีเขียนในปี 1998 และรวมไว้ในหนังสือรวมบทความของเขาที่ชื่อว่า Philosophy and Social Hope จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์Penguin ในปี1999

·· นักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดผู้หนึ่งในวงการปรัชญาโลกในปัจจุบัน  ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ทางปรัชญา ณ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน, ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางมนุษยศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย, และศาสตราจารย์ทางวรรณคดีเปรียบเทียบ ณ มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด

··· ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา  คณะอักษรศาสตร์  มหาวิทยาลัยศิลปากร

[1] The Communist Manifesto เป็นชื่อที่เรียกกันทั่วไปของ Manifesto of the Communist Party ซึ่งเป็นงานที่มาร์กซ์ (Karl Marx) และเองเกลส์ (Frederick Engels) เขียนขึ้นในปีค.. 1848 -ผู้แปล

[2] หนังสือเล่มที่สามของโมเสสในส่วนของไบเบิลเก่า  ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับกฎที่เกี่ยวข้องกับพวกพระและพวกชนเผ่าเลวี (Levi) ซึ่งเป็นพวกที่ถูกเลือกให้รับใช้พวกพระในวิหาร -ผู้แปล

[3] นักบุญชาวโรมัน (เสียชีวิตในปี 304)  ซึ่งเป็นหญิงพรหมจรรย์ -ผู้แปล

[4] นักสังคมนิยมมาร์กซิสต์สตรี (1871- 1919) ผู้ร่วมกับคาร์ล ลีบค์เนชต์ (Karl Liebknecht) ก่อตั้ง the Spartacus League ในปี1916 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมัน (KDP) ในปี 1919  ลุกเซมเบอร์กยังเป็นนักทฤษฎีมาร์กซิสต์ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเขียนงานวิจารณ์แนวทางแบบเลนินไว้ -ผู้แปล

[5] นักบุญฟรานซิส ซาวิเอร์ (Saint Francis Xavier, 1506- 52) – มิชชันนารีคณะเยซูอิตชาวสเปน  ในบ้านเรามีบ้านเซเวียร์ที่อยู่ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ชื่อมาจากนักบุญท่านนี้ -ผู้แปล

[6] ยูยีน วิกเตอร์ เด็บส์(Eugene Victor Debs, 1855- 1926) ผู้นำแรงงานและนักสังคมนิยมชาวอเมริกัน เคยลงสมัครเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกา -ผู้แปล

[7] คุณพ่อโยเซฟ ดาเมียน (Father Joseph Damien, 1840- 89) นักบวชคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกชาวเบลเยี่ยม -ผู้แปล

[8] นักสังคมนิยมชาวฝรั่งเศส (1859- 1914) เป็นนักหนังสือพิมพ์ผู้มีชื่อเสียงผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์แนวสังคมนิยมชื่อ L’ Humanité  ต่อมาถูกลอบสังหาร -ผู้แปล

[9] ประธานาธิบดีลินคอล์น (Abraham Lincoln, 1809- 65) ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของอเมริกาผู้ประกาศเลิกทาส -ผู้แปล

[10] กฎหมายนูเรมเบอร์กสองฉบับ (1935) ออกผ่านที่ประชุมรัฐสภาที่จัดขึ้นที่เมืองนูเรมเบอร์กภายใต้อิทธิพลของพรรคนาซี   กฎหมายฉบับแรกเพิกถอนความเป็นพลเมืองของผู้ที่ไม่ได้เป็นชาวเยอรมันหรือมีเชื้อสายใกล้เคียง กฎหมายฉบับที่สองประกาศให้การแต่งงานระหว่างชาวเยอรมันกับชาวยิวเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย -ผู้แปล

[11] ขบวนการทางสังคมในอเมริกาต้นศตวรรษที่ 20 -ผู้แปล

[12] นักปรัชญาศาสนาและนักเทววิทยาชาวอเมริกัน -ผู้แปล

[13] ผู้นำคนหนึ่งของขบวนการ Social Gospel (1861- 1918) -ผู้แปล

No comments: