หมายเหตุ บทความแปลนี้ผมแปลลงในวารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 26 ฉบับที่ 2 (ธันวาคม 2546-พฤษภาคม
2547)
ฉบับมาร์กซิสม์ในศตวรรษที่
21 หน้า 40- 73 ทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเคยขอไปลงในเว็บ แต่ปัจจุบันบทความในส่วน archive ของทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนยังไม่สามารถเข้าถึงได้
Failed
Prophecies, Glorious Hopes
Richard Rorty
Boonsong Chaisingkananont -Translate
คำทำนายที่ล้มเหลวมักก่อให้เกิดการอ่านที่สร้างแรงดลใจอันนับค่าไม่ได้ ลองดูสักสองตัวอย่างต่อไปนี้ ได้แก่ กรณีของคัมภีร์ไบเบิลใหม่ (the
New Testament) และหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
(the Communist Manifesto) [1] หนังสือทั้งสองเล่มนี้
ตัวผู้เขียนต่างตั้งใจให้เป็นการทำนายถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
อันเป็นคำทำนายที่มีฐานอยู่บนการอ้างความรู้ที่เหนือกว่าในเรื่องเกี่ยวกับพลังซึ่งกำหนดประวัติศาสตร์มนุษย์ คำทำนายทั้งสองชุดนี้ ก็เป็นเพียงแค่ความเหลวไหลอันน่าหัวเราะ
การอ้างเป็นความรู้ของทั้งสองคำทำนายได้กลับกลายเป็นเรื่องอันชวนหัวไป
พระคริสต์ไม่ได้กลับมาอีก
ผู้ซึ่งอ้างว่าท่านกำลังจะกลับมา
และอ้างว่าเป็นเรื่องที่ฉลาดรอบคอบที่จะมาเป็นสมาชิกของกลุ่มหรือนิกายเฉพาะเพื่อทิ่จะได้เตรียมการรับเหตุการณ์ดังกล่าว
ต่างถูกมองอย่างน่าสงสัยได้อย่างเหมาะสม
แน่นอนว่าไม่มีใครที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการกลับมาเป็นครั้งที่สองของพระคริสต์จักไม่บังเกิดขึ้น
ดังนั้นจึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ให้กับการกลับมาจุติ แต่กระนั้น
เราต่างก็ได้แต่เฝ้ารอคอยเหตุการณ์ดังกล่าว กันมานานแสนนานแล้ว
โดยเทียบเคียงกัน
ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่ามาร์กซ์กับเองเกลส์ผิดเมื่อพวกเขาป่าวประกาศว่า ‘พวกกระฎุมพีได้หล่อหลอมอาวุธที่นำพาความตายกลับมาสู่พวกเขา’ อาจเป็นได้ว่าโลกาภิวัตน์ของตลาดแรงงานในศตวรรษหน้าจะพลิกกลับกระบวนการอันรุดหน้าในการทำให้กรรมาชีพในยุโรปและอเมริกากลายเป็นกระฎุมพี และอาจกลายเป็นความจริงที่ว่า ‘พวกกระฎุมพีไม่อาจคงสถานะเป็นผู้ปกครองได้อีกต่อไป
เนื่องจากพวกเขาไม่อาจแม้แต่สร้างความมั่นคงในการคงเหล่าทาสไว้ให้อยู่ภายใต้ความเป็นทาสอีกต่อไป’ อาจเป็นได้ว่าการล่มสลายของระบบทุนนิยมและสมมติฐานเรื่องการได้อำนาจทางการเมืองโดยชนชั้นกรรมาชีพที่รู้แจ้งและทรงไว้ซึ่งความดี
จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น กล่าวอย่างสั้น
ๆ อาจเป็นไปได้ว่ามาร์กซ์กับเองเกลส์แค่กะเวลาการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวผิดไปหนึ่งหรือสองศตวรรษเท่านั้น กระนั้น ทุนนิยมก็ได้เอาชนะเหนือวิกฤตมากมายในอดีตที่ผ่านมา
และเรายังคงรอคอยกันมายาวนานนักสำหรับการกำเนิดขึ้นของชนชั้นกรรมาชีพดังกล่าว
โดยเช่นเดียวกัน
ไม่มีเหล่าผู้เย้ยหยันคนใดจะสามารถมั่นใจได้ว่าสิ่งที่ชาวคริสต์ผู้เน้นศรัทธาเรียกกันว่า
‘กลายเป็นตัวตนใหม่ในองค์พระเยซู’ นั้นจะไม่ใช่ประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์และเป็นการเปลี่ยนแปรอย่างแท้จริง ถึงกระนั้น
พวกที่อ้างว่าได้กลับมาเกิดใหม่ในวิถีแบบนี้ก็ดูเหมือนไม่ได้ประพฤติอะไรที่ดูแตกต่างไปจากวิถีที่พวกเขาได้เคยประพฤติมาในอดีตทั้ง
ๆ ที่เราได้คาดหวังว่าจะแตกต่างไปจากเดิม
โดยเทียบเคียงกัน
เราไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะไม่เป็นจริงที่สักวันหนึ่งเราอาจจะได้แลเห็นอุดมคติใหม่ ๆ
ที่จะเข้ามาแทนที่สิ่งที่มาร์กซ์และเองเกลส์เรียกถึงอย่างไม่อยากเอาไว้ว่า ‘ปัจเจกภาพแบบกระฎุมพี, ความอิสระแบบกระฎุมพี,
และเสรีภาพแบบกระฎุมพี ’
แต่กระนั้นเราก็ได้รอคอยมาอย่างอดทนต่อระบอบการปกครองที่เรียกตัวเองว่า
‘มาร์กซิสต์’
ที่จะอธิบายกับเราอย่างแจ่มชัดว่าอุดมคติใหม่ ๆ
นี้เป็นแบบใด
และจะถูกทำให้เป็นจริงในทางปฏิบัติได้อย่างไร จวบจนปัจจุบันนี้
ระบอบการปกครองดังกล่าวทั้งหมดได้กลับกลายถดถอยสู่การเป็นอนารยะก่อนยุคแห่งการรู้แจ้ง
(pre- Enlightenment barbarism) เสียยิ่งกว่าจะเป็นแสงริบหรี่แรกสุดของสังคมอุดมคติในยุคหลังการรู้แจ้ง (a
post- Enlightenment utopia)
แน่นอนว่ายังคงมีคนที่อ่านคัมภีร์ของชาวคริสต์เพื่อจะเข้าใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นทั่วไปในอีกสองสามปีหรือทศวรรษหน้า คนอย่างโรนัลด์ รีแกนได้ทำเช่นนั้น
นี่เป็นตัวอย่าง จวบจนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ
นี้เอง ปัญญาชนจำนวนมากอ่านแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ก็ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน ก็ดังเช่นที่ชาวคริสต์ได้ตักเตือนเราอย่างอดทนและประกันกับเราว่า
เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมที่จะตัดสินพระเยซูโดยดูจากความผิดที่ผู้รับใช้ท่านที่ชั่วร้ายได้กระทำ
ชาวมาร์กซิสต์ก็เช่นเดียวกันได้ประกันกับเราว่า
ระบอบการปกครองแบบมาร์กซิสต์ที่มีมาจนถึงปัจจุบันเป็นเพียงการบิดเบือนอย่างไร้สาระไปจากความตั้งใจของมาร์กซ์ ชาวมาร์กซิสต์ที่ยังหลงเหลืออยู่จำนวนน้อยในบัดนี้ยืนยันว่าพรรคคอมมิวนิสต์ของเลนิน
เหมา และคาสโตรนั้น
ไม่มีอะไรที่คล้ายคลึงเลยกับชนชั้นกรรมาชีพที่ได้อำนาจตามแบบที่มาร์กซ์ฝันไว้
และยังเป็นเพียงแค่เครื่องมือของเอกาธิปัตย์หรือคณาธิปัตย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาบอกกับเราว่า
สักวันหนึ่งจักมีพรรคกรรมาชีพที่แท้จริง อันพรรคปฏิวัติที่แท้จริงบังเกิดขึ้น พรรคซึ่งเมื่อชนะจะนำเสรีภาพมาให้เรา
อันเป็นเสรีภาพที่ไม่เหมือนกับ ‘เสรีภาพของกระฎุมพี’ ดังเช่นเดียวกันกับที่คำสั่งสอนของศาสนาคริสต์สอนไว้ว่ามีแต่เพียงความรักเท่านั้นที่เป็นกฎ
ไม่ใช่กฎที่ถูกกำหนดตามอำเภอใจในเลวิติคัส (Leviticus)[2]
พวกเราส่วนใหญ่ไม่อาจยึดถืออย่างเอาจริงเอาจังกับคำทำนายที่เลื่อนเวลาออกไปหรือการให้ประกันซ้ำไม่ว่าจะเป็นของชาวคริสต์หรือชาวมาร์กซิสต์ แต่การทำเช่นนี้ก็ไม่ได้, และไม่สมควรด้วยที่จะ, กันเราจากการค้นหาแรงดลใจและการเสริมกำลังใจจากคัมภีร์ไบเบิลใหม่และหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ เพราะว่าเอกสารทั้งสองชิ้นนี้เป็นการแสดงออกของความหวังเดียวกัน
กล่าวคือ
ความหวังที่ว่าสักวันหนึ่งเราจะมีเจตจำนงและสามารถปฏิบัติต่อความต้องการของมนุษย์ทั้งปวงด้วยความเคารพและนับถือในแบบที่เราปฏิบัติต่อบุคคลที่ใกล้ชิด
บุคคลที่เป็นที่รักของเรา
ข้อเขียนทั้งสองชิ้นได้รวบรวมพลังที่สร้างแรงดลใจอันยิ่งใหญ่กว่าเมื่อวันเวลาได้ผ่านพ้นไป เพราะแต่ละเล่มต่างเป็นเอกสารที่วางรากฐานให้กับขบวนการซึ่งได้ทำอะไรไว้มากมายเพื่อเสรีภาพของมนุษย์และความเสมอภาคของมนุษย์ ในปัจจุบันนี้, โดยขอบคุณสำหรับการเพิ่มขึ้นของประชากรนับจากปี
1848 เป็นต้น, เอกสารทั้งสองชิ้นอาจสร้างแรงดลใจต่อชายและหญิงที่กล้าหาญและยอมอุทิศตนเองในจำนวนที่ไม่น้อยไปกว่าเดิม ที่จะเสี่ยงชีวิตและโชคเคราะห์เพื่อปกป้องชนรุ่นอนาคตจากความทุกข์ระทมที่ไม่เป็นที่ต้องการที่ยืนยงมา
อาจจะมีนักสังคมนิยมผู้เสียสละมากมายพอกันกับชาวคริสต์ผู้เสียสละได้เกิดขึ้นแล้ว
หากความหวังของมนุษย์สามารถอยู่รอดฝ่าหัวรบพ่วงเชื้อโรคแอนแทรกซ์ อุปกรณ์นิวเคลียร์ขนาดกระเป๋าใส่เสื้อผ้า
ภาวะประชากรล้นเกิน สภาพตลาดแรงงานโลกาภิวัตน์
ตลอดจนสภาพเสื่อมโทรมทางด้านสิ่งแวดล้อมของศตวรรษที่กำลังมาถึง
หากเรามีผู้สืบสายเลือด ผู้ซึ่งอีกศตวรรษนับจากนี้
ยังคงมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ไว้เพื่อปรึกษาและยังคงสามารถแสวงหาแรงดลใจจากอดีต บางทีพวกเขาจะนึกถึงเซนต์แอกเนส (Saint
Agnes)[3] และโรซา ลุกเซมเบอร์ก (Rosa
Luxemburg)[4], เซนต์ ฟรานซิส (Saint
Francis)[5] และยูยีน เด็บส์ (Eugene
Debs)[6], คุณพ่อดาเมียน
(Father Damien)[7] และฌอง เฌาแรส (Jean
Jaurès)[8], ในฐานะที่เป็นสมาชิกของขบวนการเดียวกัน
ดังเช่นที่ไบเบิลใหม่ยังคงได้รับการอ่านโดยผู้คนนับล้าน
ผู้ซึ่งให้เวลาแค่น้อยนิดที่จะกังขาว่าสักวันหนึ่งพระคริสต์จะกลับมาอย่างเลื่องระบือหรือไม่ โดยเช่นเดียวกันแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังคงได้รับการอ่านแม้แต่ในหมู่ของพวกเราผู้ที่คาดหวังและเชื่อว่าความยุติธรรมทางสังคมโดยบริบูรณ์นั้นสามารถทำให้บรรลุได้โดยปราศจากการปฏิวัติในประเภทที่มาร์กซ์ทำนายไว้
ที่ว่าสังคมไร้ชนชั้น อันเป็นโลกซึ่ง ‘พัฒนาการอย่างเสรีของมนุษย์แต่ละคนเป็นสภาพการณ์ของพัฒนาการอย่างเสรีของมนุษย์ทุกคน’
จะสามารถเกิดขึ้นในฐานะที่เป็นผลของสิ่งที่มาร์กซ์ชิงชังว่าเป็น
’การปฏิรูปแบบกระฎุมพี’
พ่อแม่และครูควรส่งเสริมให้เยาวชนได้อ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้
ผู้เยาว์จักดีขึ้นทางศีลธรรมหากได้อ่านหนังสือดังกล่าว
เราควรเลี้ยงลูกหลานของเราให้ค้นพบว่า
เป็นเรื่องที่ทนรับไม่ได้ที่เราผู้ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะและแป้นพิมพ์ได้ค่าจ้างเป็นสิบเท่ามากกว่าคนซึ่งมือต้องเปื้อนสกปรกในการทำความสะอาดห้องน้ำของเรา
และได้ค่าจ้างเป็นร้อยเท่ามากกว่าผู้ซึ่งประกอบแป้นพิมพ์ของเราที่อยู่ในแถบโลกที่สาม
เราควรทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะกังวลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศที่ปรับเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมก่อนใครอื่นมีสินทรัพย์นับร้อยเท่าเมื่อเทียบกับประเทศที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรม ลูกหลานของเราต้องการที่จะได้เรียนรู้แต่เนิ่น
ๆ เพื่อมองเห็นถึงความไม่เสมอภาคระหว่างโชคของพวกเขากับของเด็กอื่น ๆ
ว่าไม่ได้เป็นทั้งผลจากเจตจำนงของพระเจ้าหรือราคาที่จำเป็นที่ต้องจ่ายไปสำหรับความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาควรตั้งต้นคิดแต่เนิ่น ๆ
ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เกี่ยวกับว่าโลกควรจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เพื่อที่ว่าจะได้ให้ความมั่นใจว่าจะไม่มีใครยังคงหิวโหยในขณะที่คนอื่นมีอย่างเหลือล้น
ลูกหลานของเราจำเป็นที่จะต้องอ่านสารเรื่องภราดรภาพของมนุษย์ของพระคริสต์ไปกันกับของมาร์กซ์และเองเกลส์ในเรื่องที่ว่าทุนนิยมอุตสาหกรรมและตลาดเสรี-
อย่างจำเป็นดังที่มันได้เป็นไป - ได้สร้างความยากลำบากยิ่งอย่างไรต่อการจะจัดการให้เกิดภราดรภาพดังกล่าว พวกเขาจำเป็นต้องมองชีวิตของพวกเขาในฐานะที่ถูกให้ความหมายโดยความพยายามที่มุ่งทำให้ศักยภาพทางศีลธรรมที่ตกทอดมาในความสามารถของเราในการสื่อสารความต้องการของเราและความหวังของเราสู่คนอื่น
ๆ เกิดเป็นรูปธรรมได้จริง พวกเขาควรเรียนรู้ทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับการชุมนุมพบปะกันของชาวคริสต์
ณ โพรงใต้ดิน และเรื่องเกี่ยวกับการชุมนุมของผู้ใช้แรงงาน ณ สี่แยกกลางเมือง เพราะทั้งสองเรื่องต่างมีบทบาทสำคัญอย่างเท่า ๆ
กันในกระบวนการอันยาวนานในการทำให้ศักยภาพดังกล่าวนี้เป็นจริง
คุณค่าในเชิงแรงดลใจของคัมภีร์ไบเบิลใหม่และแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์นั้นไม่ถูกลดทอนลงไปโดยข้อเท็จจริงที่ว่าคนหลายล้านคนถูกบังคับเยี่ยงทาส
ทรมาน
และอดอาหารจนตายด้วยน้ำมือของคนผู้มีความตั้งใจจริงอย่างมีศีลธรรมและซื่อสัตย์
ผู้ซึ่งท่องข้อความจากหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งเพื่อที่จะได้ให้ความชอบธรรมกับการกระทำของพวกเขา
ความทรงจำถึงห้องใต้ตึกที่จำขังนักโทษในการไต่สวนของพวกบาทหลวงและห้องสอบสวนของพวกเคจีบี
(KGB) ความทรงจำถึงความละโมบอันอำมหิตและความหยิ่งยะโสของพวกพระชาวคริสต์
และของพวกคอมมิวนิสต์ผู้คุ้มกัน
จริง ๆ แล้ว ความทรงจำดังกล่าวนี้ควรทำให้เราอึกอักใจที่จะส่งมอบอำนาจให้กับพวกที่อ้างว่ารู้ว่าพระเจ้าหรือประวัติศาสตร์
ต้องการอะไร
ทว่ามีความแตกต่างระหว่างความรู้กับความหวัง
ความหวังมักจะอยู่ในรูปลักษณ์ของคำทำนายที่ผิดพลาด ดังที่เกิดกับเอกสารทั้งสองเล่มดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ความหวังต่อความยุติธรรมทางสังคมก็เป็นพื้นฐานเพียงพื้นฐานเดียวเท่านั้นสำหรับชีวิตมนุษย์ที่มีคุณค่า
ศาสนาคริสต์และมาร์กซิสม์ยังคงมีพลังที่จะสร้างภัยใหญ่
ๆ ได้ เพราะทั้งคัมภีร์ไบเบิลใหม่และแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงสามารถถูกนำไปอ้างอย่างส่งผลโดยพวกมือถือสากปากถือศีลทางศีลธรรมและพวกนักเลงโตที่หลงตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นในอเมริกา
องค์กรที่เรียกว่าพันธมิตรคริสเตียน (the Christian Coalition) ยึดกุมพรรครีปับลิกัน (และดังนั้น รัฐสภา) เอาไว้ในอุ้งมือ
ผู้นำของขบวนการนี้ได้สร้างความเชื่อให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งนับล้านคนว่าการเก็บภาษีคนที่อยู่แถบชานเมืองเพื่อช่วยพวกชนส่วนน้อยเป็นการกระทำที่ไม่ใช่ของคริสเตียน ภายใต้นามของ ‘คุณค่าแบบครอบครัวคริสเตียน’ พันธมิตรคริสเตียนสอนว่า
การที่รัฐบาลอเมริกาที่จะให้การช่วยเหลือลูกหลานของประดาแม่วัยรุ่นที่ท้องนอกสมรสและว่างงานจะเป็นการ
‘สลายความรับผิดชอบอย่างปัจเจก’ ไป
กิจกรรมของพันธมิตรคริสเตียนมีความรุนแรงน้อยกว่าของขบวนการเซนเดโร
ลูมิโนโซ (Sendero Luminoso) ในเปรู
ที่จวนเจียนจะสูญพันธุ์ในปัจจุบัน
แต่ผลจากกิจกรรมของพันธมิตรคริสเตียนนั้นส่งผลเชิงทำลายเช่นเดียวกัน เซนเดโร ลูมิโนโซ
ในช่วงรุ่งเรืองอันน่ากลัวนั้น
นำโดยอาจารย์สอนปรัชญาผู้บ้าคลั่งผู้ที่คิดว่าตัวเขาเป็นผู้สืบทอดความคิดจากเลนินและเหมา
ในฐานะที่เป็นผู้ตีความร่วมสมัยที่ได้แรงดลใจจากข้อเขียนของมาร์กซ์ พันธมิตรคริสเตียนนั้นนำโดยสาธุคุณแพท
โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) นักเทศน์ทางโทรทัศน์ที่ดูน่าเคารพ
ผู้เป็นนักตีความไบเบิลร่วมสมัย
ผู้ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นผู้ก่อให้เกิดความทุกข์ระทมในอเมริกาได้มากกว่าที่อาเบียล
กุสมาน (Abiel Guzman) จัดการให้เกิดขึ้นในเปรู
กล่าวโดยสรุป
เมื่ออ่านคัมภีร์ไบเบิลใหม่และแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ใส่ใจกับผู้พยากรณ์ผู้อ้างตนเป็นผู้ตีความที่ถูกต้องของงานเล่มหนึ่งใดดังกล่าว เมื่ออ่านงานดังกล่าวเอง
เราควรข้ามผ่านส่วนคำทำนายไปอย่างง่ายดาย
และมุ่งความสนใจที่ส่วนการแสดงออกของความหวัง เราควรอ่านงานทั้งสองเล่มในฐานะที่เป็นเอกสารที่สร้างแรงดลใจ
ที่อุทธรณ์ถึงสิ่งที่ลินคอล์น[9]เรียกว่า ’เทพที่ดีกว่าแห่งธรรมชาติของเรา’
มากกว่าที่จะเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องแน่นอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์หรือของชะตากรรมมนุษย์
หากเราถือเอาคำว่า ‘ศาสนาคริสต์’ เป็นชื่อของการอุทธรณ์แบบหนึ่งข้างต้น
ยิ่งกว่าจะเป็นการอ้างเป็นความรู้แล้วละก็
คำดังกล่าวก็จะยังคงเป็นการเรียกชื่อพลังอันทรงอำนาจที่ดำเนินการไปเพื่อการปฏิบัติอันเหมาะสมของมนุษย์และความเสมอภาคของมนุษย์ โดยการพิจารณาในแบบเดียวกัน ‘สังคมนิยม’ ก็คือชื่อของพลังเดียวกัน
อันเป็นชื่อที่แจ่มชัดและปรับปรุงให้ทันสมัยกว่านั่นเอง คำ ‘สังคมนิยมที่เป็นคริสต์’
(Christian Socialism) เป็นคำที่ยืดยาด กล่าวคือ ในปัจจุบันนี้คุณไม่อาจคาดหวังภราดรภาพดังเช่นที่คำสอนของพระเยซูสอนไว้โดยปราศจากการคาดหวังให้รัฐบาลประชาธิปไตยทำการกระจายทรัพย์สินและโอกาสทางสังคมขึ้นใหม่ในแบบที่ระบบตลาดไม่เคยทำ ไม่มีทางที่เราจะยึดถือคัมภีร์ไบเบิลใหม่อย่างเอาจริงเอาจังในฐานะที่เป็นข้อกำหนดทางศีลธรรม
ยิ่งกว่าเป็นคำทำนายได้
หากปราศจากการเน้นความต้องการการกระจายทรัพยากรขึ้นใหม่อย่างเสมอภาคกันดังว่ามาอย่างเอาจริงเอาจัง
ผ่านกาลเวลามาดังเช่นหนังสือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
หนังสือเล่มนี้ยังคงเป็นการประกาศอย่างน่าชื่นชมเกี่ยวกับบทเรียนที่เราได้เรียนรู้จากการเฝ้ามองทุนนิยมอุตสาหกรรมที่ดำเนินการอยู่
กล่าวคือ การโค่นล้มรัฐบาลแบบอำนาจนิยมและการได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญนั้น
ยังไม่เพียงพอที่จะให้ประกันความเสมอภาคของมนุษย์หรือการปฏิบัติที่เหมาะสมของมนุษย์ ยังคงเป็นความจริงอยู่ดังเช่นที่เคยเป็นเมื่อปี
1848 ที่ว่าคนรวยจะพยายามที่จะรวยมากขึ้นโดยทำให้คนจนจนลงเสมอ ที่ว่าการทำให้แรงงานกลายเป็นสินค้าโดยบริบูรณ์จะนำไปสู่การสร้างความยากไร้ให้กับพวกกินเงินเดือน และที่ว่า’ฝ่ายบริหารของรัฐสมัยใหม่ก็เป็นเพียงแค่คณะกรรมการเพื่อจัดการกิจการทั่วไปของพวกกระฎุมพีโดยรวมเท่านั้น’
เดี๋ยวนี้การแบ่งเป็นกระฎุมพี-
กรรมาชีพอาจเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้วดังเช่นเดียวกับการแบ่งเป็นพวกนอกรีต-
ชาวคริสต์
ทว่าหากใครลองเอาคำว่า ‘คนที่รวยที่สุด 20 เปอร์เซ็นต์’ ไปใส่แทนคำว่า ‘กระฎุมพี’ เอา ‘คนอื่น
ๆ ที่เหลืออีก 80 เปอร์เซ็นต์’ ไปใส่แทน
‘กรรมาชีพ’ ข้อความส่วนใหญ่ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จะยังคงส่งเสียงกังวานอยู่
(อย่างไรก็ตาม อย่างที่เป็นที่ยอมรับกัน
มันกังวานอย่างแผ่วกว่าในรัฐสวัสดิการที่พัฒนาเต็มที่แล้วดังเช่นเยอรมนี
และกังวานมากกว่าในอเมริกา อันเป็นสถานที่ซึ่งความละโมบยังคงได้เปรียบ
และเป็นสถานที่ซึ่งรัฐสวัสดิการยังคงอยู่แค่ในขั้นต้น) การกล่าวว่าประวัติศาสตร์เป็น ‘ประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางชนชั้น’ ยังคงเป็นความจริง หากถูกตีความให้หมายความว่า ในทุก ๆ วัฒนธรรม ภายใต้ทุกรูปแบบการปกครอง
และในทุกสถานการณ์ที่จินตนาการได้ (ยกตัวอย่างเช่น ในอังกฤษ
เมื่อกษัตริย์เฮ็นรี่ที่ 8 สลายสำนักสงฆ์ ในอินโดนีเซีย
เมื่อพวกดัตช์ถอนตัวกลับบ้านไป ในจีน
หลังเหมาเจ๋อตงตาย
ในอังกฤษและอเมริกาภายใต้แธ็ตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรีและรีแกนเป็นประธานาธิบดี)
คนผู้ที่ได้เงินและอำนาจแล้วจะโกหก โกง และลักขโมย
เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาว่าพวกเขาและทายาทผู้สืบทอดจะยังคงผูกขาดทั้งเงินและอำนาจได้ตลอดไป
ตราบเท่าที่ประวัติศาสตร์ยังแสดงถึงภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจทางศีลธรรม ประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหยุดยั้งการผูกขาดดังกล่าว
การใช้หลักการของชาวคริสต์เพื่อโต้แย้งให้เลิกล้มการมีทาส (และใช้โต้แย้งกฎหมายของอเมริกาที่เทียบได้กับกฎหมายนูเรมเบอร์ก
(Nuremberg Laws)[10]
ว่าเป็นกฎหมายแบ่งแยกชาติพันธุ์) แสดงถึงศาสนาคริสต์ในส่วนที่ดีที่สุด
การใช้หลักการของมาร์กซิสต์เพื่อยกระดับจิตสำนึกของผู้ใช้แรงงาน
เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นอย่างแจ่มชัดว่าพวกเขาถูกโกงอย่างไรนั้น
แสดงถึงมาร์กซิสม์ในส่วนที่ดีที่สุด เมื่อทั้งสองลัทธิได้ร่วมมือกัน ดังที่พวกเขาได้กระทำในขบวนการ ‘Social
Gospel’ [11] ในเทววิทยาของพอล ติลลิช (Paul
Tillich)[12] และวัลเตอร์ เราส์เชนบุสช์ (Walter
Rauschenbusch)[13] และในสาส์นของสันตปาปาส่วนที่มีเนื้อหาเป็นสังคมนิยมอย่างที่สุด
พวกเขาได้ทำให้การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความยุติธรรมทางสังคมก้าวข้ามพ้นการโต้เถียงกันระหว่างเทวนิยมและอเทวนิยม การโต้เถียงกันดังกล่าวควรถูกก้าวข้ามพ้น กล่าวคือ
เราควรอ่านคัมภีร์ไบเบิลใหม่ในฐานะที่สอนว่าเราควรปฏิบัติต่อกันและกันในเรื่องทางโลกอย่างไรให้มากกว่าผลจากการถกเถียงในเรื่องเกี่ยวกับการมีอยู่หรือธรรมชาติของโลกหน้า
ขบวนการสหภาพแรงงาน
ซึ่งมาร์กซ์และเองเกลส์คิดว่าเป็นเพียงแค่ทางผ่านไปสู่การก่อตั้งพรรคการเมืองที่ปฏิวัตินั้น
ได้กลายเป็นการก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมของคุณธรรมแบบชาวคริสต์ในเรื่องการเสียสละตนและความรักมนุษย์เช่นพี่น้อง
(fraternal agape ) อันสร้างแรงดลใจอย่างที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมีบันทึกถึง
กล่าวในทางศีลธรรมแล้ว
การกำเนิดขึ้นของสหภาพแรงงานเป็นพัฒนาการที่ช่วยส่งเสริมมากที่สุดในยุคสมัยใหม่ เป็นสิ่งประจักษ์ถึงความเป็นวีรชนอันไร้ความเห็นแก่ตัวมากที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุด
แม้ว่าสหภาพจำนวนมากได้กลายเป็นพวกฉ้อฉล และอีกจำนวนมากเหลือแค่โครง
ความสูงส่งทางศีลธรรมแห่งหอคอยของชาวสหภาพแรงงานก็ยังอยู่เหนือกว่าของศาสนจักรและบรรษัท
รัฐบาลและมหาวิทยาลัย เพราะว่าสหภาพแรงงานได้รับการก่อตั้งโดยบุรุษและสตรีผู้ซึ่งมีสิ่งมากมายให้ต้องสูญเสียไป
กล่าวคือ พวกเขาเสี่ยงที่จะสูญเสียโอกาสทางการงานไปด้วยกัน
โอกาสที่จะหาอาหารกลับไปบ้านให้ครอบครัวของพวกเขา
พวกเขายอมเสี่ยงดังกล่าวเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของมนุษย์ พวกเราต่างติดค้างหนี้บุญคุณต่อพวกเขา
องค์กรที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมามีความศักดิ์สิทธิ์โดยการเสียสละตนของพวกเขา
แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ให้แรงดลใจผู้ก่อตั้งของสหภาพแรงงานใหญ่ ๆ
จำนวนมากที่สุดในยุคสมัยใหม่
โดยการอ้างอิงถ้อยคำจากหนังสือเล่มนี้ ผู้ก่อตั้งสหภาพสามารถชักนำคนนับล้านออกไปประท้วงต่อต้านสภาพการณ์ที่เลวร้ายและค่าจ้างที่ไม่พอยาไส้
ถ้อยคำเหล่านี้ค้ำจุนศรัทธาของผู้ประท้วงว่าการเสียสละตน กล่าวคือ
ความมุ่งมั่นของพวกเขาที่จะเห็นลูกหลานของพวกเขาเคลื่อนไหวโดยปราศจากอาหารที่เพียงพอแทนที่จะยอมให้กับความต้องการของเจ้าของทุนที่ต้องการการได้กลับคืนที่มากขึ้นเพื่อใช้ในการลงทุน
การเสียสละดังกล่าวนี้จักไม่สูญเปล่า
เอกสารที่ได้ให้ความสำเร็จมากมายเช่นนี้จะยังคงตกทอดเป็นส่วนหนึ่งของทรัพสมบัติที่เป็นมรดกทางสติปัญญาและจิตวิญญาณของเราต่อไป
เพราะว่าแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์อธิบายในสิ่งที่ผู้ใช้แรงงานค่อย ๆ
ตระหนักรู้ต่อมา กล่าวคือ ที่ว่า ‘แทนที่จะพุ่งทะยานไปกับความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม’
ผู้ใช้แรงงานกลับเผชิญอันตรายจาก ‘การจมลึกลง
ลึกลงไป ต่ำกว่าสภาพการณ์ของการดำรงชีวิตของชนชั้นของพวกเขาเอง’ อันตรายดังกล่าวนี้ถูกหลีกเลี่ยงอย่างน้อยเป็นการชั่วคราวในยุโรปและอเมริกาเหนือ
โดยต้องขอบคุณต่อความกล้าหาญของเหล่าผู้ใช้แรงงานผู้ซึ่งได้อ่านแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
และโดยผลจากการอ่านดังกล่าวพวกเขาได้รับการกระตุ้นให้มีความกล้าที่จะเรียกร้องการมีส่วนแบ่งในอำนาจของพวกเขา
หากพวกเขาเอาแต่รอความการุณแบบชาวคริสต์และการทำทานของพวกที่เหนือกว่า
ลูกหลานของพวกเขาก็จะยังคงไร้การศึกษาและถูกเลี้ยงดูอย่างเลวร้าย
ถ้อยคำจากไบเบิลใหม่และจากแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์อาจให้ความกล้าหาญและแรงดลใจในปริมาณที่เท่ากัน แต่มีหลายประเด็นที่แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์เป็นหนังสือที่ดีกว่าไบเบิลใหม่ที่จะให้ลูกหลานของเราได้อ่าน
เพราะหนังสือเล่มหลังมีช่องโหว่ทางศีลธรรมโดยการเน้นที่โลกอื่น
ด้วยการเสนอว่าเราสามารถแยกคำถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราแต่ละคนกับพระเจ้า -กล่าวคือ
โอกาสของเราแต่ละคนในการรอดพ้นทางวิญญาณ-
ออกจากการมีส่วนร่วมของเราในความพยายามร่วมแรงกันที่จะหยุดยั้งความทุกข์ยากอันไม่เป็นที่ต้องการ หลายตอนในไบเบิลใหม่ให้การชี้แนะต่อพวกนายทาสว่าพวกเขาสามารถคงสิทธิในการเฆี่ยนทาสของพวกเขา
และต่อคนรวยว่าพวกเขาสามารถคงสิทธิในการให้คนจนอดตาย
เพราะว่าอย่างไรก็ตามพวกเขากำลังจะได้ไปสวรรค์
บาปของพวกเขาจะได้รับการให้อภัยโดยเป็นผลจากการยอมรับพระคริสต์ในฐานะพระเจ้า
ไบเบิลใหม่ อันเป็นเอกสารของโลกโบราณ
ยอมรับความเชื่อสำคัญความเชื่อหนึ่งของนักปรัชญากรีกพวกที่แนะนำว่าการมุ่งหมายสู่ความจริงสากลนั้นเป็นชีวิตอุดมคติของมนุษย์
ความเชื่อเช่นนี้มีฐานอยู่บนข้อยอมรับเบื้องต้นว่าสภาพการณ์ทางสังคมของชีวิตมนุษย์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่สำคัญใด
ๆ กล่าวคือ เราจะมีคนจนอยู่ร่วมกับเราเสมอ และบางทีทาสก็เช่นกัน ความเชื่อเช่นนี้ชี้นำผู้เขียนไบเบิลใหม่ให้หันเหความสนใจของพวกเขาจากความเป็นไปได้ของอนาคตมนุษย์ที่ดีขึ้นไปสู่ความคาดหวังอันเลื่อนลอยเมื่อเราตาย
โลกอุดมคติเดียวที่ผู้เขียนเหล่านี้สามารถจินตนาการถึงก็คือการอยู่ในโลกหน้าด้วยกัน
เราคนสมัยใหม่มีความเหนือกว่าคนโบราณทั้งที่เป็นพวกนอกรีตหรือชาวคริสต์ ในแง่ของความสามารถที่จะจินตนาการถึงสังคมอุดมคติที่อยู่บนพื้นพิภพ ศตวรรษที่สิบแปดและสิบเก้าเป็นประจักษ์,
ในยุโรปและอเมริกา, ถึงการเปลี่ยนย้ายใหญ่ตำแหน่งของความหวังมนุษย์ กล่าวคือ การเปลี่ยนย้ายจากนิรันตรภาพไปสู่เวลาในอนาคต
จากการคาดการณ์เกี่ยวกับว่าจะทำอย่างไรจึงจะชนะใจพระเจ้าไปสู่การวางแผนเพื่อความสุขของชนรุ่นถัดไป
นัยดังกล่าวที่ว่าอนาคตของมนุษย์สามารถทำให้แตกต่างจากอดีตของมนุษย์
โดยไม่อาศัยการช่วยเหลือจากพลังที่ไม่ใช่มนุษย์นั้น ได้รับการแสดงออกไว้อย่างสง่างามในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์
แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
หากเราสามารถค้นพบเอกสารใหม่ที่ให้แรงดลใจและความหวังกับลูกหลานของเราได้ เอกสารซึ่งปลอดจากข้อบกพร่องของไบเบิลใหม่ เช่นเดียวกับของแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นเรื่องดีที่จะมีเอกสารที่ปรับปรุงขึ้น
เอกสารซึ่งขาดลักษณะการหยั่งเห็นการณ์ล่วงหน้าอย่างที่เอกสารทั้งสองเล่มมี กล่าวคือ
เป็นเอกสารที่ไม่เสนอว่าทุก ๆ สิ่งต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ หรือที่ว่าความยุติธรรม ‘สามารถจะบรรลุได้ก็แต่โดยการโค่นล้มสภาวะทางสังคมที่ดำรงอยู่ทั้งปวงโดยการใช้กำลัง’ เป็นเรื่องดีที่จะมีเอกสารทิ่อธิบายถึงรายละเอียดของสังคมอุดมคติที่อยู่ในโลกนี้โดยปราศจากการให้ประกันกับเราว่าสังคมอุดมคติดังกล่าวจักบังเกิดขึ้นอย่างเต็มที่และอย่างรวดเร็วทันทีที่การเปลี่ยนแปลงฉับพลันคราวเดียวได้เกิดขึ้น
กล่าวคือ ทันทีที่ทรัพย์สินส่วนบุคคลถูกสลาย
หรือทันทีที่เราได้ยอมรับพระเยซูเข้าสู่หัวใจของเราอย่างเต็มเปี่ยม
กล่าวโดยสั้น ๆ เป็นการดีที่สุด
หากเราสามารถดำเนินไปโดยปราศจากการทำนายและการอ้างความรู้ในเรื่องพลังที่กำหนดประวัติศาสตร์
กล่าวคือ หากความหวังอันการุณจักสามารถค้ำจุนตัวเองโดยปราศจากการทำให้มั่นใจ บางทีสักวันหนึ่งเราจะมีหนังสือเล่มใหม่ให้กับลูกหลานของเรา
หนังสือเล่มทิ่ละเว้นการทำนายแต่ก็ยังคงแสดงออกถึงการหวนหาภราดรภาพดังเดิมดังที่ไบเบิลใหม่ได้แสดงไว้
และได้รับการเพิ่มเติมด้วยคำบรรยายอันแหลมคมถึงรูปแบบล่าสุดของความไร้มนุษยธรรมที่มีต่อกันและกันดังเช่นที่แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ได้บรรยายไว้ แต่ในระหว่างนี้
เราควรขอบคุณหนังสือทั้งสองเล่มดังกล่าวที่ได้ช่วยทำให้เราดีขึ้น กล่าวคือ
ช่วยให้เราเอาชัยชนะได้ในระดับหนึ่งต่อความเห็นแก่ตัวอันโหดร้ายของเราและความซาดิสม์ที่ถูกเพาะบ่มไว้ของเรา
· บทความนี้รอร์ตีเขียนในปี
1998 และรวมไว้ในหนังสือรวมบทความของเขาที่ชื่อว่า Philosophy
and Social Hope จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์Penguin ในปี1999
·· นักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดผู้หนึ่งในวงการปรัชญาโลกในปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ทางปรัชญา
ณ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน, ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางมนุษยศาสตร์
ณ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย, และศาสตราจารย์ทางวรรณคดีเปรียบเทียบ
ณ มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด
[1]
The Communist Manifesto เป็นชื่อที่เรียกกันทั่วไปของ Manifesto
of the Communist Party ซึ่งเป็นงานที่มาร์กซ์ (Karl
Marx) และเองเกลส์ (Frederick Engels) เขียนขึ้นในปีค.ศ. 1848 -ผู้แปล
[2]
หนังสือเล่มที่สามของโมเสสในส่วนของไบเบิลเก่า ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับกฎที่เกี่ยวข้องกับพวกพระและพวกชนเผ่าเลวี
(Levi) ซึ่งเป็นพวกที่ถูกเลือกให้รับใช้พวกพระในวิหาร -ผู้แปล
[4]
นักสังคมนิยมมาร์กซิสต์สตรี (1871- 1919) ผู้ร่วมกับคาร์ล
ลีบค์เนชต์ (Karl Liebknecht) ก่อตั้ง the Spartacus
League ในปี1916 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมัน
(KDP) ในปี 1919
ลุกเซมเบอร์กยังเป็นนักทฤษฎีมาร์กซิสต์ผู้มีชื่อเสียง
ซึ่งเขียนงานวิจารณ์แนวทางแบบเลนินไว้ -ผู้แปล
[5]
นักบุญฟรานซิส ซาวิเอร์ (Saint Francis Xavier, 1506- 52) – มิชชันนารีคณะเยซูอิตชาวสเปน ในบ้านเรามีบ้านเซเวียร์ที่อยู่ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ชื่อมาจากนักบุญท่านนี้ -ผู้แปล
[6]
ยูยีน วิกเตอร์ เด็บส์(Eugene Victor Debs, 1855- 1926) ผู้นำแรงงานและนักสังคมนิยมชาวอเมริกัน
เคยลงสมัครเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกา -ผู้แปล
[7]
คุณพ่อโยเซฟ ดาเมียน (Father Joseph Damien, 1840- 89) นักบวชคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกชาวเบลเยี่ยม -ผู้แปล
[8]
นักสังคมนิยมชาวฝรั่งเศส (1859- 1914) เป็นนักหนังสือพิมพ์ผู้มีชื่อเสียงผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์แนวสังคมนิยมชื่อ
L’ Humanité ต่อมาถูกลอบสังหาร -ผู้แปล
[9]
ประธานาธิบดีลินคอล์น (Abraham Lincoln, 1809- 65) ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของอเมริกาผู้ประกาศเลิกทาส -ผู้แปล
[10]
กฎหมายนูเรมเบอร์กสองฉบับ (1935) ออกผ่านที่ประชุมรัฐสภาที่จัดขึ้นที่เมืองนูเรมเบอร์กภายใต้อิทธิพลของพรรคนาซี กฎหมายฉบับแรกเพิกถอนความเป็นพลเมืองของผู้ที่ไม่ได้เป็นชาวเยอรมันหรือมีเชื้อสายใกล้เคียง
กฎหมายฉบับที่สองประกาศให้การแต่งงานระหว่างชาวเยอรมันกับชาวยิวเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย
-ผู้แปล
No comments:
Post a Comment