นักศึกษากับความเป็นประชาธิปไตยในมหาวิทยาลัย
บุญส่ง
ชัยสิงห์กานานนท์
ภาควิชาปรัชญา
คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
กล่าวได้ว่า นักศึกษาเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญสำหรับความเป็นประชาธิปไตยในมหาวิทยาลัย
ยิ่งกว่านั้นการสืบเนื่องของสปิริตที่ได้จากการใช้ชีวิตภายใต้วัฒนธรรมประชาธิปไตยภายในมหาวิทยาลัยนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตทางสังคมในสังคมภายนอกมหาวิทยาลัยอย่างมีความหมาย
ทำไมนักศึกษาจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญสำหรับประชาธิปไตยในมหาวิทยาลัย?
มหาวิทยาลัยนั้นเป็นสังคมของคนประเภทที่ถูกเรียกว่า"ปัญญาชน" ตามความหมายโดยนัยสำคัญ ปัญญาชนก็คือ บุคคลผู้รู้จักใช้สติปัญญานำทางชีวิตอย่างถูกทาง
คนเหล่านี้จึงเป็นเสรีชนผู้ซึ่งมีความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระและได้นำเอาความคิดเห็นของตนมาแลกเปลี่ยนกันบนฐานของเหตุผลเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดในแต่ละเรื่อง
กฎเกณฑ์หลักกฎเกณฑ์เดียวที่ยึด อีกทั้งเป็นแนวกำหนดการปฏิบัติทั่วไปก็คือการที่หากไม่มีเหตุผลที่ดีกว่าในเรื่องนั้น
เราก็ต้องยอมรับเหตุผลที่ดีที่สุดในขณะนั้นเป็นแนวชี้นำไปก่อน
ตรงนี้เองเป็นตัวชี้ว่า สังคมมหาวิทยาลัยนั้นเป็นสังคมของประชาธิปไตยทางตรง กล่าวคือ การใช้สิทธิในการแสดงออกความคิดเห็นเพื่อให้เกิดผลทางการปฏิบัติโดยไม่ต้องผ่านตัวแทน มหาวิทยาลัยต้องมีกระบวนการหยั่งเสียงเพื่อฟังมติของคนในส่วนต่างๆ ในมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนในเชิงเหตุผลขึ้นจนนำไปสู่การค้นพบเหตุผลที่ดีที่สุดในเรื่องนั้นๆ สังคมมหาวิทยาลัยจึงเป็นสังคมของความเสมอภาคด้วย เสรีชนในมหาวิทยาลัยต่างเสมอกันโดยศักดิ์และต่างดำรงสถานะของผู้มีสิทธิในการนำเสนอความคิดเห็นของตนเองให้สมาชิกอื่นได้ร่วมพิจารณา ไม่ใช่เฉพาะผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางส่วนเท่านั้นที่มีสิทธิเช่นนี้
นี่คือลักษณะหนึ่งของความเป็นมหาวิทยาลัยตามอุดมคติ และเป็นดัชนีวัดว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นเข้าใกล้ความเป็นสถาบันทางการอุดมศึกษามากน้อยเพียงไร หรือรกไปด้วยราคาคุยแต่ในความเป็นจริงไม่ใช่
ในแง่หนึ่งความเฟื่องฟูของกิจกรรมนักศึกษาจึงเป็นตัววัดด้วยเช่นกัน กิจกรรมนักศึกษานั้นก็คือกระบวนการแสดงออกทางความคิดเห็นผ่านรูปธรรมของการดำเนินงานในเรื่องต่างๆ กิจกรรมนักศึกษาในที่นี้จึงไม่จำเป็นต้องผ่านองค์กรนักศึกษาที่มีอยู่ แต่อาจปรากฏเป็นรูปของกลุ่มอิสระซึ่งอาจมีสมาชิกเพียงไม่กี่คนก็ได้ และดำเนินกิจกรรมนั้นไปโดยมีใจอยากจะทำ
นักศึกษาจะพัฒนาวุฒิภาวะทางการใช้วิจารณญาณได้ก็โดยการได้ฝึกใช้ผ่านการใช้ชีวิตทางสังคม ซึ่งในที่นี้ส่วนหนึ่งก็คือสังคมมหาวิทยาลัยนั่นเอง กลุ่มอิสระที่เกิดขึ้นมากมายจักสะท้อนถึงความพยายามกำหนดชีวิตทางสังคมของตนเองขึ้นภายในมหาวิทยาลัย การมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างกลุ่มอิสระต่างๆทำให้เกิดความมีชีวิตชีวาในสถาบันขึ้น
โดยพื้นฐานแล้วกิจกรรมนักศึกษาไม่สมควรเป็นเรื่องของการบังคับให้ทำ ในมหาวิทยาลัยอาจมีนักศึกษาบางส่วนไม่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรมใดๆเลยนอกจากการค้นคว้าทางวิชาการ เราต้องยอมรับทางเลือกเช่นนี้ด้วย กิจกรรมนักศึกษาควรวางอยู่บนการเคารพในกันและกัน อันหมายความว่ามีน้ำจิตน้ำใจต่อกันดั่งเป็นพี่น้อง แต่ไม่ใช่อ้างการมีอำนาจในฐานะคนที่เข้ามาก่อนหรือความเป็นรุ่นพี่มาใช้บังคับคนที่เข้ามาทีหลังตามอำเภอใจ ด้วยเหตุว่าการกระทำเช่นนี้เองจักเป็นการทำลายพื้นฐานสำคัญของความเป็นมหาวิทยาลัย กล่าวคือ สภาพที่มีการเคารพการใช้สติปัญญาและความคิดเห็นอิสระของแต่ละคน
พื้นฐานของความเป็นปัญญาชนนั้นไม่ได้ตั้งต้นที่การเคารพคนที่มีอาวุโสกว่า แต่อยู่ที่การเคารพคนในการใช้สติปัญญาแสดงออก เคารพในเหตุผลที่ดี
ความเป็นประชาธิปไตยในส่วนของนักศึกษาตรงนี้จึงมีสองระดับด้วยกัน
๑. ในระดับระหว่างนักศึกษาด้วยกัน ต้องเคารพและยอมรับทางเลือกของแต่ละคน
ถ้าไม่เห็นด้วยก็ดำเนินไปโดยการชี้แจงเหตุผลแลกเปลี่ยนกัน
แต่ไม่ใช่โดยการใช้อาวุโสบังคับ
๒.
ในระดับสัมพันธ์กับส่วนอื่นในมหาวิทยาลัย ต้องมีความกล้าในการแสดงความคิดเห็นของตน
รู้จักรักษาผลประโยชน์ตนในสิ่งที่ตนควรได้ มหาวิทยาลัยไม่ได้ต้องการนักศึกษาที่หัวอ่อน แต่ต้องการคนที่รู้คิดและกล้าทำ
คนเหล่านี้เองจึงจะไปเป็นหลักในสังคมต่อไปได้
ความเป็นประชาธิปไตยในส่วนของนักศึกษานี้จึงเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการสร้างชีวิตของมหาวิทยาลัยให้ดำเนินไปตามทิศทางอย่างที่ควรจะเป็น สปิริตที่นักศึกษาได้จากการใช้ชีวิตภายใต้วัฒนธรรมเช่นนี้เองจักเป็นสิ่งติดตัวสำคัญ เป็นคุณสมบัติที่ให้ความหมายต่อการดำรงชีวิตทางสังคมในโลกภายนอกมหาวิทยาลัยต่อไป เราลองมาใช้จินตนาการกันดู สังคมของเราจะเป็นเช่นไรหากผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยเป็นผู้ที่มีความคิดเห็นเป็นอิสระและกล้าแสดงออกเพื่อยืนยันความคิดเห็นของตนเอง ขณะที่ก็มีความใจกว้างในการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและพยายามใช้วิจารณญาณนี้เพื่อให้ได้เหตุผลที่ดีที่สุดในเรื่อง แล้วก็นำไปปฏิบัติต่อไป
สังคมที่เต็มไปด้วยเสรีชนที่นำทางชีวิตด้วยปัญญาดังนี้ย่อมมีความแตกต่างโดยนัยสำคัญเมื่อนำไปเทียบเคียงกับสังคมไทยปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด
หมายเหตุ บทความนี้พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์รังสิต,
13 กรกฎาคม 2538 หน้า 5 และได้รับการขอนำไปพิมพ์ที่อื่นอีกหลายครั้ง
No comments:
Post a Comment