Friday, October 4, 2013

มองวิทย์ด้วยจิตศิลป์

หมายเหตุ บทสัมภาษณ์นี้ลงพิมพ์ในวารสารเทคโนโลยีวัสดุ ฉบับที่  41 (ตุลาคม - ธันวาคม  2548) หน้า 43- 47 และสามารถดาวน์โหลดฉบับพิมพ์ได้ที่ http://www.mtec.or.th/index.php?option=com_wrapper&Itemid=195  ขอขอบคุณทางกองบรรณาธิการวารสารมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


มองวิทย์ด้วยจิตศิลป์
สัมภาษณ์ : กองบรรณาธิการวารสารเทคโนโลยีวัสดุ
ภาพ : ชุมพล  พินิจธนสาร

ผู้ช่วยศสตราจารย์บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
อาจารย์สรรเสริญ สันติวงศ์ หมวดวิชาทัศนศิลป์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

คำถาม / ก่อนอื่น ขอเรียนถามในประเด็นพื้นฐานว่า ความงาม  ในทางศิลปะหรือมุมมองของศิลปินนั้นเป็นอย่างไร

.สรรเสริญ / ความงามของศิลปินทั่วไปอาจหมายถึงความพึงพอใจ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า งาม  หรือมีภาพสุนทรียะ หรืออะไรบางอย่าง มันไม่ใช่ความงามเฉพาะเปลือกนอกเท่านั้น บางครั้งอาจเป็นสิ่งสวยงามที่เป็นรูปของฟอร์ม สี จังหวะ หรืออะไรที่เรารู้สึกว่าบันเทิงใจ รื่นเริงใจ มันเป็นสิ่งงามสิ่งหนึ่ง แต่มันไม่ใช่แก่นแท้ของคนทำงานศิลปะที่ทำกันอย่างซีเรียสจริงจัง  เพราะเขาพยายามหาความงามที่เป็นอุดมคติ เป็นความงามที่สามารถเพื่อมวลมนุษย์ เพื่อยกระดับจิตใจได้ เพื่อทำให้เกิดปัญญา หรือความคิดอื่น ๆ สำหรับความดี ความงาม ความสงบสุขของคนทั่วไป  น่าจะเป็นแก่นตรงนี้มากกว่า ศิลปินหลายท่านที่มีชื่อเสียงเขาจะมีตรงนี้อยู่

คำถาม / จากคำตอบของอาจารย์ มีคำหนึ่งที่ได้ยินมาก คือ  ใจ หรือ กระทบใจ คำนี้เป็นคำสำคัญในเรื่องความงามหรือไม่

.สรรเสริญ / เข้าใจว่าคนที่เป็นศิลปินทุกคน เขาจะมีความรู้สึกไวในส่วนที่มันกระทบใจสามารถแสดงออกมาได้ สามารถรู้สึก และสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนั้นออกมาได้

.บุญส่ง / ในแง่ของศิลปินมีแรงดลใจบางอย่างที่อยากสร้างสรรค์งานขึ้นมา เหมือนคนทั่วไปตัดสินพวกนี้โดยใส่คำบอกคุณสมบัติเข้าไป เช่น เสียงเพลงนี้เพราะ หวานหู

คำถาม / แล้วในแง่ขอศิลปินน่าจะมีความลึก หรือมีมิติที่กว้างขวางกว่านั้น
.บุญส่ง / ของคนทั่วไปอาจจะเป็นความถูกใจ  ส่วนของศิลปินจะมีความคิดบางอย่างที่ไม่ใช่แค่ถูกใจ อย่างเช่นว่า มันมีคุณค่าบางอย่างในตัวงาน อาจจะถูกใจคนบางคนหรือไม่ถูกใจคนบางคนก็ไม่ใช่เป็นเกณฑ์ แต่ว่าจะไปอิงกับการที่ศิลปินคนนั้นมีทัศนคติทางสุนทรียศาสตร์อย่างไร เช่น บางคนมองว่างานชิ้นนั้นเช่นงานจิตรกรรมภาพหนึ่ง การวางองค์ประกอบที่มีความสมบูรณ์ในตัวมันเองหรือไม่ ศิลปินคนนั้นก็กำลังใช้การวางองค์ประกอบที่สมบูรณ์ในตัวมันเองเป็นเกณฑ์ในการตัดสินงาน

คำถาม / ถ้าอย่างนั้น ศิลปินแต่ละท่านอาจจะมีเกณฑ์บางอย่างที่คล้ายคลึงกัน แต่บางอย่างก็อาจมีความชอบส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน ใช่หรือไม่

.บุญส่ง / ความจริงก็เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าทัศนะการมองทางสุนทรียศาสตร์จะเหมือนกัน เหมือนกับคำในทางวิทยาศาสตร์ว่า school of thought  แต่ก็มีการเปลี่ยนไปตามยุคประวัติศาสตร์ บางสมัย บางทัศนะก็ถูกยึดเป็นแม่บท มีอิทธิพลต่อคนทำงานศิลปะ เป็นการครอบงำในช่วงนั้น

คำถาม / การแบ่งช่วงศิลปะ โดยสกูล (school) นั้นคลุมความคิดของคนส่วนใหญ่ หรือคนจำนวนมากที่มีอิทธิพลต่องานศิลปะ เป็นสาเหตุหลักหรือไม่

.บุญส่ง / ถ้าเป็นพวกที่จัดประวัติศาสตร์ศิลปะก็จะดูจากกระแสใหญ่ในแต่ละช่วงปี คือ กระแสอะไรก็จะเรียกเป็นยุคสมัยนั้น เช่น ยุคเรอแนสซองส์ (Renaissance) และยุคบาโรค (Baroque)

.สรรเสริญ / พวกตระกูลเหล่านี้ก็มีความคิดที่อยู่เบื้องหลังงาน ก็คือว่า แล้วแต่เขาจะให้ความสำคัญกับอะไร อย่างเช่น ยุคเรอแนสซองส์  ศิลปินหลุดออกมาจากแนวคิดแบบศาสนาในยุคกลาง จึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องอะไรที่ท้าทายมากขึ้น  มันแสวงหามากขึ้น ไม่ใช่ติดอยู่กับเกณฑ์อย่างเดียว ก็เลยไปเอาความคิดของพวกกรีกหรือโรมันสมัยโบราณที่สุนทรียศาสตร์เจริญมาก ๆ มากกว่าในยุคกลางด้วยซ้ำ ในแง่ให้ความสำคัญกับความเป็นจริงด้วย  ประสาทสัมผัสที่รู้สึกอยู่แค่เบื้องหน้าไม่ใช่ความรู้สึกอย่างเดียวในยุคกลาง ก็เลยมารวมกัน มาศึกษาทั้งกรีก โรมันและยุคกลาง  เป็นยุคเรอแนสซองส์

.บุญส่ง / ศิลปินเป็นคนในสังคม กระแสความคิดที่เกิดขึ้นในสังคมก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อ ความรู้สึก ความต้องการของเขา และสะท้อนออกมาในงานศิลปะ เช่น ยุคกลางเป็นยุคที่ยาวนาน อิทธิพลของศาสนาเข้ามาครอบคลุมลักษณะ กฎเกณฑ์บางอย่าง ส่วนใหญ่เป็นภาพทางศาสนา พอในยุคเรอแนสซองส์ ความตื่นตัวไปสนใจงานกรีก-โรมันกลับมาอีกทีหนึ่ง ก็เริ่มกลับมามีอิทธิพลกับศิลปินในยุคนั้น

คำถาม / ถ้าดูจากภาพกรีก-โรมันจะเห็นได้ว่า ภาพวาดหรือรูปปั้นของมนุษย์จะมีสัดส่วนที่มีอุดมคติมาก ชายจะเป็นแบบนี้ หญิงจะมีรูปร่างแบบนี้ สวยงามแบบกรีก ซึ่งยึดความจริงในธรรมชาติหรือหาฟอร์มที่เป็นอุดมคติใช่หรือไม่

.สรรเสริญ / ทั้ง 2 อย่างทั้งหาฟอร์มที่เป็นอุดมคติ และความจริงที่มาจากธรรมชาติ เขามีการศึกษากายวิภาคอย่างละเอียด ความเข้าใจในสัดส่วนมนุษย์แม่นยำ ถูกต้อง กล้ามเนื้อ โครงกระดูกมนุษย์สามารถยืนอยู่ได้โดยไม่เอียง ไม่ล้ม มันยืนอยู่ได้เป็นธรรมชาติ สวยงาม และสง่างาม  กรีกยุคแรกๆ ก็ทำไม่ได้ แต่ในยุคหลังที่เป็นคลาสสิกจริงๆ สามารถดูแล้วเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตชีวามาก สง่างาม ไม่ใช่แค่ตาเห็นอย่างเดียว เหมือนเขาคัดสรรสิ่งที่ดีเลิศ เช่นคัดมนุษย์ที่มีรูปร่างดีที่สุดมา

คำถาม / ในยุคกรีก-โรมันถือว่าเป็นเกณฑ์ของยุคต้น ๆ ของสุนทรียศาสตร์เลยหรือไม่ หรือต้น ๆ เขามีอยู่แล้ว

.บุญส่ง / ในสมัยแรก ๆ ทั้งตะวันตกและตะวันออกความคิดด้านศิลปะ อย่างเช่นเมื่อจะวาดภาพถึงอยากจะลอกแบบให้เหมือนจริงก็ทำได้จำกัด  เนื่องจากความรู้เรื่องเพอร์สเปคทีฟ (perspective) ก็ไม่มี ในเรื่องกายวิภาคก็ไม่มี มันเขียนสัดส่วนไม่ได้ ก็จะเขียนเป็นแค่ตัวโครง เหมือนภาพเด็ก ๆ  อย่างรูปผนังบนฝาถ้ำ แม้จะอยากวาดมากกว่านี้ แต่ไม่สามารถทำได้

.สรรเสริญ / ไม่สามารถแยกระยะสิ่งที่อยู่ข้างหน้า กับข้างหลังได้ ไม่รู้วิธีอะไรที่จะแยกมัน ตามันเห็นละแต่ความรู้เราไม่พอที่จะเขียนมัน แต่เขาก็ว่าในยุคกรีก-โรมันรู้วิธีแล้วว่าจะใช้เส้นในการนำสายตาเข้าไป

.บุญส่ง / แต่ความรู้พวกนี้มันก็หายไปในยุโรปยุคกลางที่เอาหนังสือพวกนี้ไปเข้าห้องสมุดแล้วเก็บไว้โดยพวกบาทหลวงไม่ให้ใครไปอ่าน  แล้วกลับมายุโรปอีกครั้งในสมัยสงครามครูเส จากการที่นักรบชาวคริสต์ได้พบอารยธรรมดั้งเดิมของตนไปงอกงามอยู่ในอารยธรรมอิสลาม เพราะความรู้ของพวกกรีก-โรมันเข้าไปอยู่ในพวกอิสลามและได้พัฒนาต่อยอดขึ้นไม่ว่าจะเป็นปรัชญากรีก การแพทย์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์  จึงนำไปสู่ความสนใจในความคิดทางปรัชญาและวิทยาการของกรีกและโรมันใหม่ เกิดเป็นยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ หรือเรอแนสซองส์

คำถาม / แล้วภาพอย่างไทยที่ไม่มีเพอร์สเปคทีฟเป็นเพราะอะไร

.สรรเสริญ / อุดมคติทางตะวันออกมีความคล้ายกันอย่างคือ ไม่นิยมเลียนแบบจริง ๆ  แบบถึงที่สุด

.บุญส่ง / ไม่เชิง เพราะของจีนจะชื่นชมการวาดภาพที่เหมือนมาก เพราะมีบันทึกบรรยายไว้ว่า จิตกรในสมัยก่อนของจีนมีชื่อเสียงมากเพราะเขียนภาพผลไม้แล้วนกโผมาจิกเพราะนึกว่าเป็นผลไม้จริง ๆ   แต่สำหรับอิทธิพลของศาสนาพุทธนั้นมีลักษณะการบรรยายอุดมคติ ให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่เหมือนมนุษย์ เป็นลักษณะมหาบุรุษ พอศิลปินสร้างพระพุทธรูปก็สร้างตามอุดมคติ ไม่ได้สร้างเหมือนคนทั่วไป

.สรรเสริญ / ทั้งที่เริ่มแรกมีการสร้างพระพุทธรูปเป็นแบบเหมือนจริงแล้ว พระพุทธรูปศิลปะคันธารราษฎร์ ก็ต้องกลายมาเป็นแบบอย่างที่เป็นอุดมคติ เป็นความรู้สึกมากกว่าเรื่องประสาทสัมผัส

คำถาม / จริงหรือไม่ที่คนอินเดียแต่โบราณไม่นิยมสร้างรูปคนเพื่อเคารพบูชา แต่กรีกชอบมาก เช่น พวกเทพและเทพีทั้งหลาย แล้วยุคนั้นในยุคพระเจ้าอเล็กซานเดอร์เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมขึ้น แล้วทำไมวัฒนธรรมพุทธของอินเดียถึงยอมให้มีรูปเคารพขึ้นมาได้

.บุญส่ง / การเปลี่ยนค่านิยมก็มีผล ในช่วงนั้นเป็นการปนของหลายเชื้อชาติ ตั้งแต่กรีกเข้ามาปกครอง   ต่อมาพวกอิหร่าน มองโกล เริ่มเข้ามา  แต่ดั้งเดิมเองพวกที่อยู่ในเมโสโปเตเมียก็บูชารูปเคารพอยู่ รวมถึงพวกรูปสัตว์  แต่พวกอิสลามมองเป็นเรื่องงมงาย  คัมภีร์อัลกุรอ่านไม่ให้บูชารูปเคารพ ศิลปะของอิสลามจะเป็นรูปทรงเรขาคณิต ไม่มีรูปแทนตัวบุคคล

คำถาม / เศรษฐกิจมีผลครอบงำศิลปะด้วยหรือครับ
. สรรเสริญ / ในยุคเรอแนสซองส์ เขาบอกว่าระบบเศรษฐกิจมีตัวผลักดันอย่างรุนแรง  ไม่ใช่ว่าเกิดสงครามครูเสอย่างเดียว ในยุคเรเรส์ซองส์ มีตระกลูเมดิซีที่เป็นพ่อค้าในสงคราม และเปิดเส้นทางการค้าใหม่ทั้งในตะวันออก และตะวันตก  ทำให้ร่ำรวยมหาศาลมาก ความร่ำรวยก็ทำให้เขาเกิดความทะเยอทะยานจะสร้างเอเธนส์แห่งใหม่  จึงระดมนักปราชญ์ นักคิด นักเขียน มาอยู่เป็นพ่อค้าต่างๆ เกิดตระกูลพ่อค้าต่างๆ เกิดการหลั่งไหลของศิลปินต่างๆ มาชุมนุมกัน การขัดเกลาเหล่านี้ ในด้านของความคิด อุดมคติ ปรัชญาศิลปินได้มีโอกาสศึกษาจากนักคิด นักเขียนเหล่านี้  และเอาความคิด ความรู้จากวิทยาการต่าง ๆ มาสร้างเป็นงานศิลปะ เป็นการผสมผสานของความงามของจิตวิญญาณแบบคริสเตียนกับความรู้ มันเลยงดงามหมดจด เศรษฐกิจยุคนี้สำคัญมาก เกิดเป็นศิลปินเยอะ ศิลปินก็ไม่ใช่เป็นคนไส้แห้งต่อไป สามารถมีชื่อเสียงเป็นหน้าเป็นตาในสังคม เป็นบุคคลสำคัญขึ้นมาได้  ฮีโร่ในยุคเรอแนสซองส์ไม่ใช่อัศวิน นักรบอีกต่อไป ความร่ำรวยของพ่อค้าต่าง ๆ มีค่านิยมในการมีสมบัติวัตถุชั้นดีในการครอบครอง นี่คือสภาพของยุโรปในยุคศตวรรษที่ 17

คำถาม / กรณีสัดส่วนทองคำ หรือ Golden Ratio  ซึ่งในยุคเรอแนสซองส์ ก็เชื่อว่า ดาวินชี ใช้สัดส่วนทองคำในงานของเขาแล้ว แสดงว่าความรู้ในเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

.สรรเสริญ / เกิดในกรีก และมาชัดเจนในยุด เพลโต้ อริสโตเติล  ที่พยามยามหาสัดส่วนที่สมบูรณ์ที่พอเหมาะ อย่างเช่นในงานละครประเภทโศกนาฏกรรม ทั้งเพลโต้ อริสโตเติล พยายามค้นหาสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของความงามทั้งหลาย มันต้องประกอบไปด้วยอะไรที่เหมาะเจาะ เหมาะสมที่สุด  ก็คิดว่าในมนัสของพระเจ้า หรืออุดมคติอะไรบางอย่างจะมีแบบที่สมบูรณ์ สวยงามที่สุด

.บุญส่ง / ความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าในยุคกลางของยุโรปก็มีพื้นฐานความคิดว่า พระเจ้าคือสิ่งที่สมบูรณ์ และเมื่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาก็จะสมบูรณ์ด้วย  และพอมาในยุคเรอแนสซองส์ ซึ่งกลับมาสนใจความคิดของกรีกอีกครั้ง และมาสนใจหาสัดส่วนระหว่างประติมากรรมที่สมบูรณ์ เลยพยายามหาว่าอะไรคือสัดส่วนที่สมบูรณ์ เมื่อพบว่าเข้ากันได้ก็เอามากำหนดเป็นเกณฑ์ขึ้น

คำถาม / มีสิ่งใดที่มาเป็นตัวบอกเกณฑ์ หรือตัวที่ว่าสัดส่วนนี้เป็นสัดส่วนที่สมบูรณ์ที่สุด

.สรรเสริญ / สิ่งหนึ่งก็คือมนุษย์นั่นเอง ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา ก็ต้องเป็นสิ่งที่สวยงาม สมบูรณ์  ฉะนั้น มันก็มีสัดส่วนเหมือนกับที่นิยายเรื่อง ดาวินชี โค้ด ได้พูดถึง สัดส่วนที่ทุกส่วนสามารถคำนวณกันได้

.บุญส่ง / ต่อจากยุคเรอแนสซองส์ ก็มาต่อช่วงในตอนที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า พวกศิลปินรับความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยพัฒนาเทคนิคในการเขียนภาพให้แม่นยำมากขึ้น  การที่ศิลปินคิดว่ามันมีสัดส่วนที่แน่นอน ผมว่ามันมีอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์ด้วย  เพราะวิทยาศาสตร์นั้นจะเกี่ยวข้องกับพวกสเกลต่าง ๆ

.สรรเสริญ / ในยุคเรอแนสซองส์ หลังจากพวก ลีโอนาโด ดาวินชี และ ไมเคิล แองเจโล ไปแล้ว เกิดยุดหลังเรอแนสซองส์ มีความเชื่อในการก่อสกูล เขียนภาพที่มีอะคาเดมิก โดยเชื่อว่าเมื่อได้เรียนรู้จากสูตรจากดาวินชี ไมเคิล แองเจโล หรือจากราฟาเอล พวกนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นศิลปินที่ดีได้ ก่อนมาถึงยุคเรอแนสซองส์ที่เป็นยุคคลาสสิกใช้เวลานานมากก่อนมาถึงยุคไมเคิล แองเจโล  หลังยุดไมเคิล แองเจโลไปศิลปินที่ทำงานในระดับใกล้เคียงกันมีมาก เพราะเรียนรู้สูตรต่างๆ ได้ ก็เลยเกิดอะคาเดมิกสกูล (academic school) เต็มไปหมดเลย ก็เชื่อว่าคนทุกคนสามารถเป็นศิลปินที่ดีได้ถ้าฝึกตามขั้นตอนตามนั้น เหมือนมีมาตรฐานอยู่ แล้วแต่ใครจะมีอัจฉริยะภาพของแต่ละคน

คำถาม / ดูจากหนังสือทางด้านสุนทรียศาสตร์ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะเป็นทางตะวันตก จะเหมือนกับทางวิทยาศาสตร์ไหมที่โดนครอบงำโดยตะวันตกมาก มันมีบางเล่มมีสุนทรียศาสตร์ตะวันออก มีการแยกแยะไหม

.บุญส่ง / ประการแรก หนังสือภาษาไทยทางด้านสุนทรียศาสตร์เรียบเรียงมาจากตำราของทางตะวันตก ก็เป็นไปในลักษณะนั้น  และประการต่อมา สุนทรียศาสตร์เองที่เป็นแขนงปรัชญา ปรัชญาตะวันตกพยายามจะจัดระบบความเข้าใจต่อสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา  ปรัชญาตะวันออกนั้นมีความแตกต่าง อย่างในปรัชญาอินเดียก็สนใจการหาคำตอบว่าชีวิตที่เป็นอมตะหลังความตายเป็นอย่างไร  แล้วเราจะหลุดพ้นได้อย่างไร  ส่วนปรัชญาจีนจะหาคำตอบในการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันให้กลมกลืนกับสังคม กับธรรมชาติ โจทย์คนละแบบ   ในตะวันตกเรื่องสุนทรียศาสตร์ก็พยายามดูว่าอะไรเป็นเกณฑ์ว่าอะไรงาม และมีค่าทางสุนทรียะ เกณฑ์ดังกล่าวใช้ได้ไหมเมื่อพิจารณาในเชิงเหตุผล

คำถาม / เป็นลักษณะของทางตะวันตกใช่หรือไม่ที่ต้องมีการทำให้เป็นมาตรฐาน หรือ standardization

.บุญส่ง / คือการทำสแตนดาร์ดเป็นเครื่องช่วยในการทำอะไรต่อมิอะไรในวงการต่าง ๆ  นอกจากนี้มันอยู่ที่เรื่องการมองเวลาด้วย เพราะในทางตะวันออกส่วนหนึ่งของการมองเวลามักมองเป็นแบบวัฎจักร  ขณะที่ความคิดแบบสมัยใหม่ซึ่งเน้นการลดความศักดิ์สิทธิ์ลง มองเวลาแบบเป็นเส้นตรง  ให้ความสำคัญกับความสามารถของมนุษย์เป็นผู้กำหนดชะตากรรมตนเองมากขึ้น ศิลปะสมัยใหม่อยู่บนความคิดที่ให้ความสำคัญกับศิลปินในฐานะที่เป็นปัจเจกชนผู้มีความสามารถในเชิงสร้างสรรค์  โลกทางศิลปะเป็นโลกที่ยิ่งใหญ่กว่าโลกของชีวิตประจำวัน ศิลปินเป็นผู้ฝากอัจฉริยภาพของตนในการสร้างงานศิลป์ให้ดำรงอยู่อย่างสถาวรในโลกแห่งศิลปะ และความยิ่งใหญ่ของศิลปินอยู่ที่ตรงนี้  

.บุญส่ง / สุนทรียศาสตร์ ในศตวรรษที่ 20  มักไม่พูดถึงความงาม โดยถือว่าเป็นมโนทัศน์ที่คลุมเครือ บ่อยครั้งเป็นเพียงแค่อัตวิสัย (subjective) และไม่ชัดเจน   จึงมีความพยายามสร้างมโนทัศน์ใหม่เข้ามาแทนที่ คือ ใช้ศัพท์จำพวก “การมีค่าทางสุนทรียะ”  หรือ ”การประสบความสำเร็จทางสุนทรียะ”  เป็นต้น โดยนำมานิยามอีกครั้ง เช่น สกูลที่เรียกว่า ฟอร์มัลลิซึม (formalism)  เน้นการหารูปแบบที่มีนัยยะ  เช่นดูองค์ประกอบที่สมดุล เป็นต้น     ถ้าเป็นพวกเอ็กเพรสชั่นนิซึม (expressionism) ก็จะเน้นในเรื่องของนการถ่ายทอดความรู้สึกของตัวผู้สร้างงาน และความสามารถถ่ายทอดความรู้สึกเข้าสู่ในตัวงานได้  เป็นต้น  แต่แม้พวกเหล่านี้จะยึดเกณฑ์ต่างกัน แต่ก็ยังมีจุดร่วมกันคือเขาคิดเหมือนกันคือไม่เอามามโนทัศน์ความงามมาเป็นเกณฑ์ในการใช้ตัดสินงานศิลป์  มโนทัศน์ความงามถือเป็นความคิดเก่า   แต่ปัจจุบันนี้ วงการสุนทรียศาสตร์กลับมาให้ความสนใจกับมโนทัศน์เรื่องความงามอีก

.สรรเสริญ / ในยุคปัจจุบันศิลปะมันแห้งแล้ง มันเต็มไปด้วยความคิด เลยอยากกลับไปหาอะไรที่ละเมียดละไม ด้วยสภาพแวดล้อมที่แย่อยู่แล้ว อยากจะเสพศิลปะที่เป็นแบบเก่า อยากจะหวนหาอดีตบ้าง พวกเพนติ้ง (painting) ก็กลับมา สมัยก่อนพูดกันว่า Painting is dead.”  

.บุญส่ง / อย่างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่นิยมสร้างตึกเป็นรูปทรงเรขาคณิต แยกฟังก์ชันของส่วนทำงานที่ชัดเจน  แต่ถ้าเป็นสถาปัตยกรรมแบบโพสต์โมเดิร์น (Post-modern) จะไม่ยึดเกณฑ์แบบนั้น อย่างเช่นเอาเฟอร์นิเจอร์ต่างยุคสมัยมารวมกันได้ โต๊ะไม่เข้าชุดกัน ไม่ร่วมสมัยกัน ขอให้จัดวางแล้วลงตัว และพอใจ ก็ยอมรับได้    นี่แสดงว่า ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนมันก็ยังวงเวียนอยู่กับการให้คุณค่าของคนอยู่

คำถาม / อาจารย์มีอะไรฝากถึงแวดวงด้านวิทยาศาสตร์ไหม ในมุมมองของศิลปินในแง่ของสุนทรียศาสตร์
.สรรเสริญ / แม้ในด้านวิทยาศาสตร์ หรือ สุนทรียศาสตร์ มันก็มีจุดมุ่งหมายไม่ต่างกันคือ ก็เพื่อจรรโลงมนุษย์ จรรโลงโลก และก็ต่างมีอุดมคติในการสร้างอารยธรรมความเจริญของมนุษย์ทั้งส่วนที่เป็นวัตถุ และทางด้านจิตใจ  เหมือนกันคือ เราต่างพยายามสร้างอารยธรรมโลกให้เจริญอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

.บุญส่ง / ทั้งศิลปิน หรือ นักวิทยาศาสตร์มีความกระตือรืนร้นที่จะอยากรู้อะไรที่ลึกซึ้งกว่าในสิ่งที่อยู่รอบข้างตัวเอง และพยายามพัฒนาเครื่องมือหรือเครื่องช่วยอะไรมาช่วยตัวเองรู้ให้ลึกซึ้งได้ และบ่อยครั้งทั้งสงวงการก็เกื้อกูลกัน เช่นความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์สามารถทำให้วงการศิลปะมีเทคนิคมากขึ้น

.สรรเสริญ / บ่อยครั้งศิลปะก็เสริมสร้างจินตนาการให้วิทยาศาสตร์ ฝันว่าจะบินได้ ฝันว่าจะไปดวงจันทร์  เหมือนแรงดลใจ บันดาลใจหลาย ๆ อย่าง บางทีที่ศิลปากรก็จัดกิจกรรมมาเจอกันระหว่างกลุ่มศิลปะกับวิทยาศาสตร์ เพราะอยากจะเห็นความเหมือน และความแตกต่างของศิลปะ และของวิทยาศาสตร์ว่า มันส่งเสริมกันได้อย่างไรบ้าง  เรารู้จักคุณค่าของทั้ง  2 อย่างอย่างถ่องแท้

คำถาม / หากคนที่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่เคยรู้เรื่องทางศิลปะมาก่อน แต่อยากเข้าใจงานด้านศิลปะจะเริ่มต้นอย่างไร

.บุญส่ง / เริ่มที่ตัวเองรู้สึกชอบใจ ถูกใจ คือ มีแรงดลใจบางอย่างให้สนใจศิลปะ  ต้องมีจุดเริ่มจุดหนึ่งก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจว่าคนในวงการศิลปะเขาตั้งเกณฑ์อะไร  อย่าไปสนใจมากนักว่าศิลปินเขาใช้เกณฑ์อะไรตัดสินงาน มีศิลปินน้อยคนที่มีความสามารถในการไตร่ตรองสะท้อนตนเอง (self-reflection)  เวลาเราอ่านแผ่นพับที่ศิลปินเขียนที่แจกในงานแสดงศิลปะ บ่อยครั้งศิลปินมักเขียนไปตามความนึกคิดความเข้าใจของตนเองโดยไม่มีการไตร่ตรองสะท้อนที่จริงจัง ซึ่งไม่ช่วยเรามากเท่าไรในการเข้าใจศิลปะ  เอาเป็นว่าถ้ามีความสนุกกับการติดตามศิลปะก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว

No comments: