หมายเหตุ บทความนี้ผมแปลลงใน อภิชญาจารย์ รวมบทความทางวิชาการเพื่อเป็นเกียรติแด่ผู้ช่วยอาจารย์ธีรศักดิ์ โอภาสบุตร เนื่องในวาระอายุครบ 60 ปี (นครปฐม: ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2556) ซึ่งมีอาจารย์พิพัฒน์ สุยะ เป็นบรรณาธิการ
บุญส่ง
ชัยสิงห์กานานนท์ – แปล
หมายเหตุผู้แปล ผมแปลบทความนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่อาจารย์ธีรศักดิ์
โอภาสบุตร เนื่องในวาระเกษียณอายุราชการ นอกจากประเด็นเรื่องเสรีภาพจะเป็นประเด็นที่เราเคยพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมาบ้าง
การนำเสนอประเด็นนี้ยังเป็นการรำลึกถึงสิ่งที่อาจารย์ธีรศักดิ์ได้กระทำในการยืนหยัดปกป้องให้กับหลักการที่เป็นหัวใจของคณะอักษรศาสตร์
หลักการของ liberal
arts ที่ให้ความสำคัญกับการเพาะบ่มคุณสมบัติความใจกว้างและการยอมรับการเลือกที่แตกต่างอันเกิดจากการใช้วิจารณญาณของตนเอง
อันเป็นคุณสมบัติที่นักศึกษาได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับการพัฒนาขึ้นจากการเรียนการสอนในคณะ ในสมัยที่อาจารย์ธีรศักดิ์เป็นหัวหน้าภาควิชาปรัชญา
เราสามารถวางใจได้ที่จะเห็นอาจารย์พร้อมชนเพื่อปกป้องหลักการพื้นฐานดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสยบความพยายามออกระเบียบบังคับที่เป็นปัญหา
เช่นความพยายามที่จะไม่ให้นักศึกษาที่ไม่ได้สวมเครื่องแบบเข้าชั้นเรียน หรือการคัดค้านความพยายามแก้ไขหลักสูตรให้เป็นแค่การผลิตนักเทคนิคทางภาษา
โดยไม่ใส่ใจต่อพื้นฐานของมนุษยศาสตร์ ที่มีรากฐานอยู่บนปรัชญา ประวัติศาสตร์และอารยธรรม
เป็นต้น
บทความแปลนี้ยังขอมอบแด่อาจารย์สุนัย
ครองยุทธ ที่ได้เกษียณไปเมื่อสามปีก่อน ถือเป็นการชดเชยที่ผมในตอนนั้นไม่มีเวลาเพียงพอที่จะเขียนหรือแปลงานเพื่อลงเป็นเกียรติให้อาจารย์สุนัยทันปิดต้นฉบับหนังสือที่ระลึกในคราวนั้น
---------------------------------------------------------------------------------
มีอาณาบริเวณขนาดใหญ่ทางความคิดสองอาณาบริเวณที่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเสรีภาพ
ทั้งสองอาณาบริเวณนี้แยกจากกันได้ชัดและเป็นอิสระเชิงตรรกะจากกันและกัน จริงๆ แล้วถึงขนาดที่ว่าอาจให้อภัยใครสักคนก็ยังได้จากการที่เขาสงสัยว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วอาณาบริเวณทางความคิดทั้งสองนั้นยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเรื่องเดียวกันหรือไม่ อาณาบริเวณแรกคือกระแสทางความคิดของมนุษย์ที่มีมาแต่เก่าก่อนเนิ่นนานมากที่ยังคงสู้รบกับปัญหาเรื่องเสรีภาพของมนุษย์ในฐานะที่เป็นมนุษย์
กระแสความคิดดังกล่าวนี้ยังคงเกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่ามนุษย์มีเสรีโดยพิจารณาจากแค่เรื่องความเป็นมนุษย์ของเขาได้หรือไม่
กระแสที่สองเกี่ยวข้องกับเรื่องเสรีภาพของมนุษย์ในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม
และเกี่ยวข้องกับเรื่องเสรีภาพทางสังคมของการกระทำที่เราเรียกเช่นกันว่าความมีเสรี
(liberty)[4]
เมื่อเรากล่าวว่ามนุษย์มีเสรีโดยเนื่องจากธรรมชาติที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ของตัวเขา
เราหมายถึงเขาสามารถเลือกระหว่างสิ่งต่างๆ
และการเลือกของเขาไม่ได้ขึ้นแต่อย่างไรกับ หรือเป็นผลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากพลังอื่นๆ
ที่อยู่เหนือเกินกว่าจิตสำนึกของเขา อย่างไรก็ตาม
เสรีภาพไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสามารถที่จะเลือกระหว่างความเป็นไปได้ต่างๆ ที่ถูกให้มา
แต่ยังเป็นศักยภาพที่จะสร้างสถานการณ์ที่ใหม่ทั้งหมดและที่ไม่อาจคาดทำนายได้เช่นกัน
ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมของเรา
เสรีภาพของมนุษย์ตามนัยดังกล่าวมานี้ได้รับการปฏิเสธบ่อยพอๆ กันกับที่มันได้รับการยืนยัน
การถกเถียงแม้จะไม่ใช่ปัญหาเดียวกันแต่ก็เชื่อมโยงกับการถกเถียงเกี่ยวกับความคิดเรื่องการถูกกำหนดไว้โดยแน่นอน (determinism)[5] หากว่าทุกเหตุการณ์ล้วนแต่ถูกกำหนดโดยผลรวมของสภาพการณ์ที่กำหนดแล้วละก็
ความเป็นไปได้ของการเลือกอย่างเสรีย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่หากว่าความเป็นสาเหตุที่เป็นสากลจริงๆ แล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ดังเช่นที่ว่ามา
ก็จะนำไปสู่ผลบางอย่างที่ดูขัดแย้งตัวเองซะยิ่งกว่า เพราะหากว่าบางสิ่งถูกกำหนดโดยบริบูรณ์โดยสภาพการณ์กำหนดของมัน โดยหลักการแล้ว
(แม้ว่าอาจจะไม่จำเป็นในการปฏิบัติก็ตาม)
มันก็ต้องคาดการณ์ทำนายได้ด้วย ดังนั้นหากการถูกกำหนดไว้โดยแน่นอนที่เป็นแบบเคร่งครัด
(strict determinism) เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เราก็จะต้องจินตนาการได้ -เมื่อตอนที่อำนาจในการคาดการณ์ทำนายของเราเป็นไปอย่างสมบูรณ์เพียงพอ-
ว่าเมื่อเราเปิดหน้าหนังสือพิมพ์และอ่านประกาศก็จะพบคำประกาศในทำนอง
“จอห์น กรีน
นักประพันธ์ดนตรีผู้มีชื่อเสียง
ได้เกิดเมื่อคืนก่อน ณ เมืองทวิกเคนแฮม
พรุ่งนี้วงลอนดอนฟิลฮาร์โมนิกจะเฉลิมฉลองเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ โดยการบรรเลงซิมโฟนีหมายเลขสามของเขา
อันเป็นดนตรีที่เขาจะประพันธ์ขึ้นเมื่อถึงวัย 37 ปี”
เคยมีช่วงเวลาที่นักฟิสิกส์และนักปรัชญาส่วนใหญ่เชื่อในความคิดการถูกกำหนดไว้โดยแน่นอนที่เป็นแบบเคร่งครัด
ในตอนที่ความคิดแบบนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของวิทยาศาสตร์และความคิดที่มีเหตุผล ไม่เคยมีข้อพิสูจน์มาสนับสนุนแนวคิดเช่นนี้
แต่มันก็ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเรื่องของสามัญสำนึกแบบพื้นๆ โดยถือเป็นความจริงซึ่งประจักษ์แจ้งในตัวเอง
ที่มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จักอาจสงสัยมัน
ในศตวรรษของเรา กลศาสตร์ควอนตัม และทฤษฎีความไร้ระเบียบ (chaos theory)
ที่เป็นที่รู้จักกันเมื่อเร็วๆ นี้เอง ได้พยายามสลายความเชื่อดังว่า
และนักฟิสิกส์ก็ได้ละทิ้งการยึดมั่นในความคิดเรื่องการถูกกำหนดไว้โดยแน่นอน แน่นอนว่าการค้นพบกลศาสตร์ควอนตัมไม่ได้บ่งนัยว่ามนุษย์มีเจตจำนงเสรี
(free will) เหนืออื่นใด
อิเล็กตรอนไม่มีเจตจำนงเสรี แต่อย่างน้อยที่สุด ฟิสิกส์ก็ไม่ได้ช่วยให้ความคิดของเราในเรื่องเจตจำนงเสรีกลายเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดหรือไร้เหตุผล และที่จริงแล้ว มันก็ไม่ได้ช่วยให้สรุปได้ไปในทางหนึ่งทางใดดังได้กล่าวมา เราไม่ใช่แค่อาจจะ แต่ยังน่าจะเชื่อในเรื่องเจตจำนงเสรี
ตามนัยที่ผมได้นิยามไว้ข้างต้น กล่าวคือ
ถือเอาในฐานะที่เป็นศักยภาพที่ไม่ใช่แค่เลือก ทว่ายังสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ อีกด้วย
ประสบการณ์ของเสรีภาพตามนัยดังกล่าวนี้เป็นสิ่งพื้นฐานยิ่งสำหรับมนุษย์ทุกคนขนาดที่ว่าความเป็นจริงในเรื่องนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ประจักษ์แจ้งอย่างไม่อาจขัดขืนได้
แม้ว่าเราไม่อาจพิสูจน์มันโดยการแยกเป็นส่วนและวิเคราะห์ส่วนองค์ประกอบของมัน
แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นอะไรที่เป็นพื้นฐานขนาดที่ว่าดูเหมือนจักแจ่มชัดอย่างเด่นชัดยิ่งนั้น
ก็ไม่มีเหตุผลให้สงสัยได้เลยว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ จริงๆ แล้วเราเป็นตัวผู้กระทำที่มีเสรีในสิ่งที่เรากระทำ
ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือของพลังหลากหลายที่ดำรงอยู่ในโลก แม้แน่นอนว่าเราจักต้องขึ้นต่อกฎธรรมชาติก็ตาม และจริงๆ แล้วเราก็จัดวางเป้าหมายของตัวเราเอง
ไม่ว่าดีหรือชั่ว และดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว สภาวการณ์ภายนอกหรือบุคคลอื่นๆ
อาจจะบั่นทอนความพยายามของเรา
ยกตัวอย่างเช่นเราอาจจะถูกทำให้ไร้ความสามารถทางกายภาพขนาดที่เราไม่สามารถที่จะตัดสินใจเลือกอย่างส่งผลได้
แต่ศักยภาพสำคัญของเราที่จะเลือกก็ยังคงดำรงอยู่
แม้ว่าเราจะไม่อาจใช้ประโยชน์จากมันได้ก็ตาม และก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะอ้างดังที่เซนต์ออกุสทีน
(St Augustine[6]) หรือค้านท์ (Kant)[7]
อ้างว่าเรามีเสรีก็ต่อเมื่อเราเลือกความดี ไม่ใช่เมื่อเราเลือกความชั่วร้าย การกล่าวเช่นนี้คือการนิยามเสรีภาพของเราโดยนิยามจากตัวเนื้อหาของการเลือกของเรา
ไม่ใช่โดยนิยามจากศักยภาพแท้จริงของเราที่จะเลือก และการนิยามเสรีภาพในวิถีแบบนี้ก็คือการขัดขวางมโนทัศน์อันแท้จริงในเรื่องเสรีภาพด้วยการเอาหลักการทางศีลธรรมของตัวเราเองมาปิดกั้น
ดังนั้น
เสรีภาพดังกล่าวมานี้จึงถูกให้สู่เรามากันกับความเป็นมนุษย์
และเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ดังกล่าว
มันให้ความเป็นเฉพาะหนึ่งเดียวกับการดำรงอยู่อย่างแท้จริงของตัวเรา
อาณาบริเวณที่สองของสองอาณาบริเวณทางความคิดในเรื่องเกี่ยวกับเสรีภาพจะเกี่ยวข้องกับปัญหาที่แตกต่างอย่างยิ่ง
เพราะว่าเนื้อหาของมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสรีภาพของเราที่ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นมนุษย์แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม
เสรีภาพตามนัยนี้ไม่ได้มีแหล่งที่มาจากธรรมชาติของการดำรงอยู่ของตัวเรา
แต่มาจากวัฒนธรรม, สังคม และกฎหมายของเรา
มันบ่งชี้ถึงอาณาบริเวณของกิจกรรมมนุษย์ที่ซึ่งการจัดการทางสังคมไม่ได้ห้ามหรือควบคุมเรา
แต่ปล่อยให้เรามีเสรีที่จะเลือกว่าเราจะกระทำอย่างไรโดยไม่ต้องกลัวการตอบโต้กลับ
นี่คือเสรีภาพที่เราเรียกเช่นกันว่าความมีเสรี (liberty)
แน่นอนว่าเสรีภาพในความหมายนี้อาจตรวจวัดได้ในแง่ระดับ
กล่าวคือ อาจจะมีมันมากหรือน้อย และโดยปกติเราประเมินระบบการเมืองที่แตกต่างกันโดยพิจารณาจากระดับเสรีภาพที่ระบบการเมืองนั้นมีให้
ระดับนั้นขยายไล่จากระบอบเบ็ดเสร็จนิยมโดยสมบูรณ์แบบ (perfect totalitarian regimes) (ดังเช่น
รัสเซียภายใต้ระบอบสตาลิน จีนภายใต้ลัทธิเหมา และคอมมิวนิสม์เอเชียประเภทต่างๆ
หรือจักรวรรดิไรช์ที่สาม[8])
ที่สุดโต่งทางฝั่งหนึ่ง ไปจนถึงระบบการเมืองที่การเข้าแทรกแซงพลเมืองของรัฐบาลนั้นแสดงออกในรูปแบบของการห้ามหรือการตักเตือนที่ถูกจำกัดให้อยู่ในระดับที่น้อยอย่างเข้มงวดยิ่ง ระบอบแบบเบ็ดเสร็จนิยมมีจุดมุ่งหมายที่จะควบคุมทุกอาณาบริเวณของกิจกรรมมนุษย์เพื่อที่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือให้เป็นเรื่องการเลือกของปัจเจกบุคคล
ทรราชย์ในจำพวกที่ไม่ได้เป็นพวกแบบเบ็ดเสร็จนิยมมุ่งหมายที่จะกดไว้เฉพาะเสรีภาพในอาณาบริเวณที่อาจจะแสดงให้เห็นว่าคุกคามต่อตัวระบอบ
แต่ในเรื่องอื่นๆ ระบอบเหล่านั้นไม่ได้มุ่งหมายที่จะควบคุมโดยบริบูรณ์
ระบอบเหล่านั้นยังไม่ประสงค์ที่จะมีอุดมการณ์ในแบบที่เป็นการรวบเอาทุกส่วนมาไว้ภายใต้แนวคิดเดียวหรือมีลักษณะครอบโลกแต่อย่างไร
เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยที่จะมองเสรีภาพตามนัยนี้
แม้ว่ามันอาจถูกทอนจนเหลือแค่ศูนย์ มันก็ไม่อาจเป็นสิ่งที่ไม่มีจุดจำกัด “สภาวะตามธรรมชาติ” อันเป็นสมมติฐานที่ได้รับการอภิปรายโดยพวกนักทฤษฎีทางสังคม
กล่าวคือ สภาวะที่ปราศจากกฎหมายหรือกฎเกณฑ์หรือสังคมที่มีการจัดการในแบบใดแบบหนึ่ง
สภาวะที่ทุกๆ คนอยู่ในสภาวะสงครามต่อกันและกันอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่เคยมีอยู่จริง
แต่หากว่ามันจะเคยมีอยู่ มันก็จะไม่เป็นสภาวะของเสรีภาพที่มีไม่จำกัด
เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะจริงที่จะกล่าวว่าในสภาวะดังกล่าว “ทุกๆ สิ่งก็ล้วนเป็นที่ยินยอมได้”
เพราะว่าบางสิ่งจะได้รับยินยอมหรือไม่ก็แต่โดยกฎหมาย และ ณ ที่ที่ไม่มีกฎหมายก็ไม่มีเสรีภาพ
กล่าวคือ คำดังกล่าวก็สูญเสียความหมายไปอย่างแท้จริง ในโลกของเราเสรีภาพถูกจำกัดเสมอ โรบินสัน ครูโซ (Robinson Crusoe)[9] ไม่ได้พึงพอใจเสรีภาพที่มีไม่จำกัด
ที่จริงเขาพอใจการไม่มีเสรีภาพประเภทใดๆ เลยต่างหาก ไม่ว่าจะ ในระดับมีมากกว่าหรือน้อยกว่า
เสรีภาพสามารถดำรงอยู่ก็แต่ในที่ซึ่งมีบางสิ่งถูกห้ามในขณะที่บางสิ่งได้รับการยินยอม
บางทีเรื่องตลกต่อไปนี้ซึ่งเล่ากันมาก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
อาจจะช่วยให้ประเด็นนี้กระจ่างชัดขึ้นได้ “ในออสเตรีย เรื่องอะไรก็ตามที่ไม่ถูกห้ามจะได้รับการยินยอม ในเยอรมนี
เรื่องอะไรก็ตามที่ไม่ได้รับการยินยอมจะถูกห้าม ในฝรั่งเศส ทุกๆ
เรื่องได้รับการยินยอม รวมถึงเรื่องอะไรก็ตามที่ถูกห้าม และในรัสเซีย ทุกๆ เรื่องถูกห้าม
รวมถึงเรื่องอะไรก็ตามที่ได้รับการยินยอม”
แม้ว่าความหมายทั้งสองของคำว่า
“เสรีภาพ” จะแตกต่างกันอย่างยิ่ง มากขนาดที่ว่าเป็นไปได้ที่จะเริงรื่นกับเสรีภาพตามนัยหนึ่งแต่ไม่พึงพอใจกับอีกนัยหนึ่ง
ถึงกระนั้น
ทั้งสองนัยก็ใกล้เคียงกันมากพอที่เราจะสามารถใช้คำคำเดียวกันสำหรับความหมายทั้งสองนัยตราบเท่าที่เราไม่สับสนกับความหมายที่แตกต่างกัน
ทั้งสองความหมายล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องความเป็นไปได้ของการเลือก กล่าวคือ
“เสรีภาพ”
ตามนัยแรกคือความสามารถโดยเฉพาะของเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่จะเลือกและสร้างสรรค์
แม้จะเป็นข้อเท็จจริงว่าเรามีความสามารถดังกล่าวนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเรามีขอบเขตของทางเลือกแค่ไหนไว้แล้ว ที่จริงแล้วทางเลือกดังกล่าวนั้นเปิดกว้างต่อเรา
ตามนัยที่สองนั้น เสรีภาพเป็นอาณาบริเวณที่ซึ่งสังคมและตัวกฎหมายปล่อยให้เรามีอิสระที่จะตัดสินใจสร้างทางเลือกของตัวเราเอง
มีข้อผิดพลาดที่พบบ่อยสองประการที่เราควรระวังเมื่อกล่าวถึงเสรีภาพ
ข้อผิดพลาดแรกคือการเอาเสรีภาพไปใช้สับสนระหว่างเรื่องของการทำให้พึงพอใจสนองตอบต่อความปรารถนาทั้งปวงของเรา
กับเรื่องที่เราได้พิจารณาแล้วว่าเป็นการเรียกร้องที่ถูกต้อง
ไม่มีอะไรผิดในการกล่าวถึงการมี “อิสระจากความเจ็บปวด” หรือ “อิสระจากความหิว” และการไม่ระทมทุกข์จากความเจ็บปวดหรือความหิวจริงๆ
แล้วเป็นหนึ่งในสิ่งพื้นฐานที่สุดที่มนุษย์เรียกร้อง อย่างไรก็ตาม
เราไม่อาจกล่าวได้ว่าเราพอใจกับประเภทเฉพาะบางประเภทของเสรีภาพเมื่อข้อเรียกร้องดังได้กล่าวมาได้รับการเติมเต็ม การใช้คำว่า “เสรีภาพ”
ในกรณีนี้เป็นการใช้อย่างเข้าใจผิดเพราะมันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเลือกเลย ไม่เกี่ยวทั้งกับเรื่องขอบเขตของเสรีภาพของเราที่จะเลือกหรือเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของเราที่จะเลือกและสร้างสรรค์
ความเจ็บปวดเป็นเพียงแค่อะไรบางสิ่งที่เรายินดีที่จะกำจัดมันทิ้ง มันยุติลงและมันก็เหมาะเช่นนั้นแล้ว การกำจัดความเจ็บปวดเป็นเรื่องที่ดีที่เป็นที่น่าพึงปรารถนาอย่างยิ่ง
โดยเช่นนั้นเองแอปเปิ้ลสักลูกสำหรับใครสักคนที่กำลังหิวโหย
หรือการนอนหลับสำหรับใครสักคนที่เหนื่อยล้า หรืออะไรก็ได้ที่เราเผอิญต้องการ ณ
ช่วงเวลาเฉพาะหนึ่งใด
ทว่าการกำจัดความเจ็บปวดหรือการกินแอปเปิ้ลไม่ใช่ประเภทของเสรีภาพ มันเป็นเพียงแค่สิ่งดีๆ ที่เราปรารถนา
(เราอาจจินตนาการถึงค่ายกักกันที่ไม่มีความหิวโหย เราจะกล่าวได้ไหมว่าเป็นการให้เสรีภาพอันแน่นอนแก่เหล่านักโทษ
ที่เสรีนิยมประชาธิปไตยมอบไว้ให้กับคนอื่นๆ)
ดังนั้นผู้คนมากมายในศตวรรษของเรา และในศตวรรษก่อน
ที่ได้อุทิศชีวิตของพวกเขาแก่การต่อสู้เพื่อเสรีภาพตามนัยที่เหมาะสมของคำ
การขยายความหมายของคำคำนี้ให้ครอบคลุมสิ่งใดก็ตามที่ใครสักคนอาจต้องการก็คือการทำให้ความเข้าใจของเราที่มีต่อตัวมโนทัศน์เองกลับคลุมเครือและเป็นการปล่อยให้คำคำนี้ปราศจากความหมายใดๆ
ทั้งสิ้น กล่าวคือ รากเหง้าทางมโนทัศน์ถูกกัดแทะ การแยกความแตกต่างระหว่าง “เสรีภาพจาก” กับ
“เสรีภาพสู่” นั้นจึงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างไร[10]
ข้อผิดพลาดที่สองที่เราควรจะระวังในการกล่าวเกี่ยวกับเสรีภาพก็คือการทึกทักเอาว่าเสรีภาพตามนัยที่สอง
(นัยทางกฎหมาย) จะไร้ความหมายหากความปรารถนาหรือความต้องการอื่นของเรายังไม่บรรลุ
นี่คือสมมติฐานที่บ่อยครั้งถูกสร้างขึ้นโดยพวกคอมมิวนิสต์ พวกเขาจะถามว่า
“เสรีภาพทางการเมืองจะมีความหมายอะไรกัน สำหรับใครก็ตามที่กำลังหิวโหยและว่างงานอยู่?” แน่ละ มันสำคัญสิ
ความหิวโหยอาจเป็นเรื่องที่รู้สึกรีบด่วนกว่าการขาดเสรีภาพทางการเมือง
แต่เมื่อเสรีภาพเหล่านี้ได้รับการทำให้ปรากฏขึ้นจริง
คนที่หิวโหยและที่ว่างงานจักได้โอกาสที่ดีขึ้นในการปรับปรุงสภาวะของตัวเขายิ่งกว่าเมื่อไร้เสรีภาพเหล่านั้น กล่าวคือ พวกเขาจะสามารถจัดการตัวพวกเขาเองให้สู้เพื่อสิทธิของพวกเขา
และปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาได้
ในขณะที่การรวมเอาสิ่งดีๆ
ทั้งหมดที่เราอาจจะปรารถนามาไว้ภายใต้หัวชื่อว่า “เสรีภาพ”
นั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่กระนั้นก็ไม่เป็นที่กังขาแต่อย่างไรว่าเสรีภาพตามนัยทางกฎหมายโดยตัวมันเองเป็นสิ่งที่ดีอันเป็นที่น่าปรารถนาอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นสิ่งที่ดีในตัวมันเอง
และไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือหรือสภาวการณ์ของการได้สิ่งที่ดีอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจักต้องยอมรับโดยปราศจากข้อเหนี่ยวรั้งใดๆ
ต่อหลักการที่ว่ายิ่งมีเสรีภาพ (ตามนัยดังกล่าว) มากขึ้น ก็ยิ่งดี พวกเราส่วนใหญ่รู้สึกอย่างเชื่อมั่นมากว่าเป็นเรื่องที่ดีที่กิจกรรมบางอย่างที่เคยถูกถือว่าเป็นอาชญากรรม
เช่น การใช้เวทย์มนตร์คาถาหรือการรักร่วมเพศเดียวกัน
ไม่ได้ถูกพิจารณาให้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป อย่างน้อยก็ในประเทศที่เป็นอารยะ
แต่ก็ไม่มีใครที่มีความคิดถูกต้องจะเรียกร้องสิทธิที่จะขับรถทางด้านซ้ายหรือด้านขวาของถนนเพราะว่ามันบังเอิญเหมาะกับตัวเขา
ยิ่งบ่อยกว่านั้นและมีจำนวนประเทศที่เพิ่มมากขึ้น
ที่เราได้ยินว่าเด็กนักเรียนมีเสรีภาพมากเกินไปและมีวินัยไม่เพียงพอ ซึ่งไม่ใช่แค่ในเรื่องทางวิชาการแต่ยังเรื่องการศึกษาทางศีลธรรมและหน้าที่พลเมืองที่ยังไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ยังไม่แน่นอนแต่อย่างไรว่าเด็กๆ
ต้องการที่จะได้รับเสรีภาพในปริมาณมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตั้งแต่วัยต้นๆ ความต้องการดังกล่าวค่อยๆ
เพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติไปกับวัยที่สูงขึ้น และเด็กเล็กยังมีแนวโน้มยอมรับอำนาจของผู้ใหญ่อย่างค่อนข้างเป็นธรรมชาติด้วยซ้ำ
แถมเด็กเล็กโดยปกติยังไม่เรียกร้องที่จะได้รับการยินยอมให้เลือกเพื่อตัวพวกเขาเอง โดยคล้ายคลึงกัน ตัวเราเองที่เป็นผู้ใหญ่ บ่อยครั้งรู้สึกผ่อนคลายเมื่อสามารถละการตัดสินใจเลือกบางอย่างให้คนอื่นจัดการแทน
โดยเฉพาะเมื่อเราไม่มั่นใจในตัวเราเอง และจะพอใจที่จะกระทำตามคำชี้แนะของผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งๆ ที่เราก็รู้อยู่ว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่เราจะสามารถไว้วางใจได้
เรารู้ว่าการตัดสินใจเลือกที่ถูกต้องบ่อยครั้งขึ้นอยู่กับการมีข้อมูลที่ถูกต้อง
และไม่มีใครอาจอ้างได้ว่ารู้ไปหมดได้อย่างเพียงพอในทุกๆ
เรื่องที่เขาถูกเรียกร้องให้ตัดสินใจเลือก เรามีเสรีภาพที่จะเลือก
แต่เราก็ไม่พอใจที่ตัวเราจะเลือกเองในเรื่องที่เราไม่คุ้นเคย
กล่าวโดยรวบรัด ไม่มีกฎเกณฑ์ทั่วไปที่เราจะใช้กำหนดอย่างแน่ชัดว่าเสรีภาพมากเท่าไรที่ดีสำหรับเรา
บางครั้งเราถูกต้องที่คิดว่าเราอาจมีเสรีภาพมากไปก็ยังดีกว่ามีไม่เพียงพอ
และเสรีภาพที่มีมากเกินไปอาจเป็นภัยได้
แน่นอนว่าการมีมากเกินไปปลอดภัยกว่ามีไม่เพียงพอเมื่อคำนึงในแง่ดังกล่าวมา
และอาจจะเป็นสิ่งที่รอบคอบกว่าสำหรับกฎหมายที่จะผิดพลาดในด้านของการมีใจกว้างยิ่งกว่าในการระวังในการวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเสรีภาพที่จะให้กับพลเมือง
แต่กระนั้น หลักการนี้เองก็ไม่อาจยอมรับได้โดยปราศจากการมีข้อกำหนดที่กำหนดขอบเขตให้
[1] บทความนี้แปลจาก “On
Freedom” ซึ่งเป็นบทความที่รวมอยู่ในผลงานรวมบทความของ Leszek Kołakowski ที่ชื่อว่า Freedom,
Fame, Lying, and Betray: Essays on Everyday Life. (Colorado: Westview
Press, 1999 ) หน้า 95-103 เชิงอรรถทั้งหมดในบทความแปลนี้จัดทำโดยผู้แปล
[2]Leszek Kołakowski
(1927- 2009) ศาสตราจารย์ทางปรัชญาแห่งมหาวิทยาลัย Oxford และ Chicago เป็นนักปรัชญาชาวโปแลนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกที่มีผลงานมากมายที่มีอิทธิพล
อาทิ Main Currents of Marxism, Metaphysical Horror, Religion: IF There
Is No God. Why Is There Something Rather Than Nothing?, My Correct Views on Everything,
Modernity on Endless
Trial เป็นต้น
[3] ในบ้านเราเดิมเรียกชื่อและสกุลของเขาว่าเลสเซก
โคลาโควสกี ซึ่งเป็นการออกเสียงภาษาโปแลนด์ผิด อาทิ ตัวอักษร sz
ในภาษาโปแลนด์ก็คือตัวอักษร sh ในภาษาอังกฤษ
จึงต้องออกเสียงเป็นเลเชค เป็นต้น
[4] โดยปกติแล้ว ศัพท์ freedom กับ liberty
ถูกใช้ในความหมายที่ไม่ต่างกัน และใช้แทนกันและกันได้ คำแรกมีรากศัพท์มาจากภาษาเยอรมัน
คำหลังมีรากศัพท์มาจากภาษาละติน
บางครั้งคำหลังถูกใช้ในความหมายการปราศจากการควบคุม
[5] ศัพท์บัญญัติของราชบัณฑิตใช้นิยัตินิยม ผู้แปลพยายามหาคำไทยที่ไม่ใช่การเอาคำบาลีสันสกฤตมาแทนซึ่งคนรุ่นปัจจุบันไม่เข้าใจ
ในที่นี้จึงเป็นการทดลองที่จะหาคำในภาษาไทยทั่วไปมาใช้
[8] นาซีเยอรมนี
[9] ชื่อตัวละครที่เรือแตกและไปติดอยู่บนเกาะร้างกลางทะเลลึก ในนวนิยายชื่อเดียวกัน
ซึ่งประพันธ์โดยแดเนียล เดโฟ (Daniel Defoe)
[10] ไอไซอาห์ เบอร์ลิน (Isiah Berlin) เป็นผู้แยกระหว่าง “เสรีภาพจาก” กล่าวคือ เสรีภาพในนัยเชิงปฏิเสธ
(negative freedom) หรือเสรีภาพจากการถูกแทรกแซงขัดขวาง กับ
“เสรีภาพสู่” กล่าวคือ เสรีภาพเชิงยืนยัน (positive freedom) หรือเสรีภาพที่จะกระทำ ดังเช่นในการควบคุมชีวิตของเราเอง
หรือในการทำให้เป้าหมายชีวิตเราบรรลุเป็นจริงได้ เป็นต้น โปรดดูบทความ “Two Concepts of Liberty” ในหนังสือรวมบทความของเขาชื่อ Liberty (New York: Oxford
University Press, 2002) หน้า 166-217
No comments:
Post a Comment