หมายเหตุ
บทความชุดนี้เป็นสี่ตอนแรก
ซึ่งเคยลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยไฟแนนเชี่ยล และต่อมาอาจารย์สมเกียรติ ตั้งนโม
ได้ขอไปเผยแพร่ในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน โดยรวมเป็นบทความเดียวตามรูปแบบนี้ครับ
จากการล่มสลายของสหภาพโซเวียด
ถึงทุนนิยมที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์
บุญส่ง
ชัยสิงห์กานานนท์
ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร
(๑) โลกหลังยุคใหม่(ตอนที่๑):จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ
"สิ่งที่เราจักเป็นประจักษ์พยานอยู่นี้หาได้เป็นเพียงการสิ้นสุดของสงครามเย็นหรือการผ่านพ้นไปของช่วงเวลาเฉพาะช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์หลังสงคราม แต่เป็นจุดจบของประวัติศาสตร์ กล่าวคือ
จุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการทางอุดมการณ์ของมนุษยชาติ และเป็นการยอมรับอย่างเป็นสากลของเสรีนิยมประชาธิปไตยตะวันตกในฐานะที่เป็นรูปแบบสุดท้ายของรัฐบาลมนุษย์"
(Time ,April 23,1990)
คำประกาศอย่างท้าทายยิ่งของฟรานซิส
ฟูกูยามา (Francis
Fukuyama) นักวางนโยบายในทีมงานของทำเนียบขาวยุคประธานาธิบดีบุชประโยคดังกล่าว
ปรากฏในงานเขียนของเขาที่มีชื่อว่า “จุดจบของประวัติศาสตร์" และได้นำมาซึ่งการเข้าร่วมถกเถียงประเด็นดังกล่าวจากนักวิชาการสำคัญทั้งในยุโรปและอเมริกาจำนวนมาก
เราจะได้พิจารณากันต่อไปในตอนที่มีชื่อประเด็นว่า "ประวัติศาสตร์มีจุดจบหรือไม่?" แต่ในตอนนี้เราจะตั้งต้นที่ตรงการมองจุดเปลี่ยนของยุคสมัย
จุดเปลี่ยนจากยุคใหม่
มีนักวิเคราะห์จำนวนมากเห็นพ้องกันว่า การสิ้นสุดของสงครามเย็น อันรวมถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญจากยุคหนึ่งเข้าสู่อีกยุคสมัยหนึ่ง
เรากำลังเผชิญหน้ากับสภาพการณ์แบบใหม่
-
อดีตประธานาธิบดีบุชของอเมริกาได้พูดถึง “การจัดระเบียบใหม่ของโลก"
-
อดีตประธานาธิบดีกอร์บาชอฟได้พูดถึง"การคิดอย่างใหม่"
-
นักคิดในกลุ่มซ้ายใหม่ (New Left) ในอังกฤษได้พูดถึง “การไร้ระเบียบใหม่ของโลก"
-
นักวิชาการในสังคมไทยจำนวนมากได้พูดถึง "กระแสของการทำให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งโลก" (ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
"Globalization" และนักวิชาการไทยบางส่วนทำให้เป็นคำแขกว่า"โลกานุวัตร"นั่นเอง)
คำเหล่านี้ถูกใช้อย่างจงใจเพื่อเรียกปรากฏการณ์ทางสังคมการเมืองและเศรษฐกิจที่มีลักษณะสำคัญอันเห็นได้ชัดว่าต่างไปจากเดิม สิ่งนี้ได้สะท้อนว่าคนจำนวนไม่น้อยมีสำนึกถึงความเปลี่ยนไปแห่งยุคสมัย
ในยุโรปภาคพื้นทวีป สกุลความคิดที่ครอบคลุมวงการไม่ว่าด้านปรัชญา
สังคมวิทยา ศิลปะ เป็นต้น มีชื่อเรียกตนเองและถูกเรียกว่า "สกุลหลังยุคใหม่" (Postmodernism) สังคมในยุโรปนอกจากได้รับการเรียกถึงว่าเป็น “สังคมหลังอุตสาหกรรม" ยังมีการเรียกกันว่า “สังคมหลังยุคใหม่"
(Postmodern world).
ในปี ๑๙๘๒ ฌอง-ฟรองซัว ลีโอตารด์ (Jean-Francois Lyotard) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผู้เป็นตัวหลักของสกุลปรัชญาหลังยุคใหม่ได้เขียนไว้ว่า
“...ในทุกหนทุกแห่งเรากำลังได้ถูกเร่งเร้าให้เลิกการทดลอง
ไม่ว่าในทางศิลปะหรือในด้านอื่นๆ ผมได้อ่านข้อเขียนของนักประวัติศาสตร์ศิลป์ผู้หนึ่งผู้ซึ่งสรรเสริญศิลปะสกุลสัจนิยมและแสดงความรำคาญใจกับการมาถึงของหัวสกุลใหม่ๆ ผมได้อ่านข้อเขียนของนักวิจารณ์งานศิลป์ผู้ซึ่งกระจายเสียงออกอากาศและขาย"สกุลเหนือแนวบุกเบิก" (transavant-gardism) ตามตลาดงานศิลปะ..."
[Lyotard 1988:P.1]
ในที่นี้ ลีโอตารด์ต้องการกล่าวถึงกระแสของการต่อต้านแนวทางการทดลองใหม่ๆ
ที่ปรากฏขึ้นในทางวัฒนธรรม ไม่ว่าในด้านศิลปะหรือทางปรัชญา และเราก็ได้ประจักษ์ว่า กระแสต่อต้านเหล่านั้นไม่บรรลุผลแต่อย่างไร ในปลายทศวรรษยุค ๑๙๘๐ เราได้ประจักษ์ถึงการทดลองอย่างจริงจังในรูปแบบใหม่ทางการแก้ไขปัญหาทางการเมืองและสังคม
กล่าวคือเรากำลังเข้าสู่ยุคของการทดลองที่กว้างไปกว่าแค่ในทางศิลปะหรือปรัชญา และครอบคลุมถึงทุกๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์
ตรงนี้เองที่การเปลี่ยนของยุคสมัยหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น ในเวลาเช่นนี้คนจำนวนมากปรับตัวไม่ทันรับกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว
โดยอาศัยสื่อซึ่งกระจายตัวอย่างกว้างขวางด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ สังคมไทยก็เป็นอาณาบริเวณหนึ่งภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว บทความชุดนี้มีจุดมุ่งหมายนำพาผู้อ่านในสังคมไทยไปสู่ปัจจุบันของอาณาบริเวณอื่นและอนาคตอันใกล้ของสังคมไทยเอง
ผู้เขียนจะได้นำประเด็นที่สำคัญที่สนใจกันในวงการโลกปัจจุบันมาอภิปรายเช่นเรื่องจุดจบของประวัติศาสตร์ แรงผลักดันประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เราจะได้วิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางสังคม เช่น
ผลพวงจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต กระบวนการทำให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งโลกในด้านต่างๆ การปรากฏใหม่ของแนวคิดแบบเผ่าพันธุ์นิยม ผู้อ่านจะได้รับการพาไปรู้จักสายสกุลทางความคิดต่างๆ
ที่มีอิทธิพลทางความคิดในโลก เช่น ยุโรปภาคพื้นทวีป
โลกแองโกลแซกซอนหรือโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษ โลกอิสลาม เป็นต้น ว่าสกุลเหล่านี้คิดอะไรกันอยู่
เราจะได้อภิปรายถึงประเด็นจากความคิดของนักคิดเด่นๆ
ในปัจจุบัน ดังเช่น โบร์ดริลญาร์ (Baudrillard), ฮาเบอร์มาส (Habermas),
ไควน์ (Quine) เป็นต้น โดยมีการโยงประเด็นอภิปรายถึงเหล่านักคิดที่มีอิทธิพลต่อปัจจุบัน เช่น ไฮเด็กเกอร์ (Heidegger), วิตเกนสไตน์ (Wittgenstein), ฟูโกลต์ (Foucault) เป็นต้น
และจะได้พิจารณาเรื่องผลพวงจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (อันเป็นประเด็นที่มีความสับสนมากที่สุดในบรรดา
“ผู้ประกาศลัทธิ" ในสังคมไทย เช่นสาย ส.ศิวรักษ์
เป็นต้น) เช่น แนวคิดเรื่องทฤษฏีควันตัม กรณีการค้นคว้าเรื่องรหัสยนัยแห่งพันธุกรรม
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือโครงการสร้างคอมพิวเตอร์ที่
“คิด" ได้
การเสนอภาพดังกล่าวนี้ จักดำเนินไปพร้อมกับการพิจารณาอย่างวิพากษ์ จึงไม่ใช่เพียงการให้ภาพเชิงบรรยาย หรือการรับความคิดใครมาเผยแพร่ต่อ
ตรงนี้เองจักเป็นจุดที่ต่างไปจากงานชิ้นอื่นๆ ที่มีการเขียนกันในเรื่องเหล่านี้ในสังคมไทย ผู้เขียนคาดหวังว่าผู้อ่านจะได้ประสบการณ์จำนวนหนึ่งในแง่การคิดจริงจังถึงสถานะการเป็นมนุษย์
โดยคิดไปไกลกว่าเพดานความคิดที่ติดฐานทางวัฒนธรรมหรือเฉพาะศาสนาตนของแต่ละคน การทำเช่นนี้เป็นทั้งการทดลองและการบุกเบิก เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะทางจิตใจ
อันกรุยทางไปสู่การเปลี่ยนสภาพเป็นสังคมไทยที่พ้นอนุรักษ์นิยม
กล่าวได้ว่าบทความชุดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมกระแสสู่ยุคสมัยใหม่อย่างพยายามรู้ให้เท่าทันนั่นเอง
"ความทันสมัย"กับสังคมไทย
รายการโทรทัศน์รายการหนึ่งในช่วงเดือนที่ผ่านมาแพร่ภาพครูคนหนึ่งสอนนักเรียนชั้นประถมอยู่ในห้องเรียน ครูชี้ไม้เรียวไปที่ตัวหนังสือบนกระดานดำที่เขียนข้อความไว้ว่า
“พัฒนาเข้าสู่ประเทศที่ทันสมัย" ครูย้ำด้วยคำพูดให้นักเรียนพูดตามว่า
“ประเทศไทยยุคนิกส์" นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความตื่นตาตื่นใจไปกับความเเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมของสังคมไทยในช่วงทศวรรษปัจจุบัน สำหรับคนจำนวนไม่น้อย สังคมไทยกำลังเป็นสังคมที่ทันสมัยเทียมหน้าเทียมตาประเทศตะวันตกหรือแถบเอเชียตะวันออก อย่างน้อยก็ในแง่วัตถุ ทั้งนี้เห็นได้จากสภาพแวดล้อมต่างๆ ทางวัตถุที่เปลี่ยนไปและเริ่มมีสภาพทางกายภาพคล้ายคลึงกับ
ภาพต่างสังคมที่เราได้พบเห็นผ่านภาพยนตร์ ศูนย์การค้าใหญ่ๆ ใกล้บ้าน สินค้ารุ่นใหม่ๆ
แฟชั่นรุ่นล่าสุด คอนเสิร์ตป็อปสตาร์จากฮอลลีวูด
สำหรับเขาเหล่านั้น
สังคมไทยกำลังเป็นสังคมที่ร่วมสมัยอย่างทัดเทียมกันกับสังคมที่ “เจริญแล้ว" นี่คือสิ่งที่พวกเขาภาคภูมิใจ
เมื่อมองจากจุดนี้ เราจะเห็นได้ว่ามีภาพความเข้าใจที่ต่างกันอยู่ ๒ ภาพใหญ่ กล่าวคือ
ความเห็นว่าสังคมไทยกำลังดำเนินไปสู่
ก. สภาพสังคมอุตสาหกรรมแบบที่มีปัญหาต่างๆ
ดังเช่นที่เกิดขึ้นในประเทศโลกที่สาม หรือที่เคยเกิดในประเทศตะวันตกในอดีต
ข. สภาพสังคมอุตสาหกรรมแบบที่ไม่มีปัญหาแบบเดิมๆ และเป็นสังคมที่มีการสนองตอบทางวัตถุอย่างเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเทียบเคียงกับประเทศที่คิดว่าเป็นตัวแบบ
ในปัจจุบันแม้ว่าเราได้เผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ในแบบสภาพ ก. เช่นการขยายตัวของเมืองพร้อมกันกับการเพิ่มของปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
ไม่ว่าเรื่องขยะ การจราจรติดขัด อากาศเป็นพิษ เสียงอึกทึก
ปัญหาการขาดน้ำกินน้ำใช้
คนจำนวนไม่น้อยข้างต้นก็เห็นว่าปัญหาดังกล่าวจะแก้ไขได้หรือลดทอนลง
ขณะที่ความ“ทันสมัย"ยังคงเดินหน้าต่อไป
เราจะได้กลับมาพิจารณาประเด็นดังกล่าวนี้ในภาคหลังๆ
รวมทั้งคำถามที่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เรากำลังเป็นประจักษ์พยานนี้ เป็นเพียงสภาพ“ฟองสบู่"ที่ล่องลอยอยู่ชั่วขณะก่อนจักสลายตัวไปเหลือเพียงความว่าง
เปล่าหรือไม่. สภาพแบบ ข.มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร ยิ่งกว่านั้น เป็นสภาพที่เป็นเป้าหมายจริงๆ ของเราหรือไร ทั้งนี้จะได้พิจารณาฐานแนวคิดของกลุ่มที่ปฏิเสธโลกยุคใหม่ด้วยว่ามีฐานความคิดอย่างไร
มองปัญหาสมจริงหรือไม่ น่าเป็นทางเลือกหรือไม่
ในตอนนี้เราขอตั้งข้อสังเกตประการสำคัญ
ประการแรก "ความทันสมัย" ที่คนไทยจำนวนไม่น้อยตื่นตาตื่นใจอยู่นั้น เป็นสิ่งที่คนไทยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็เคยมีความตื่นเต้นในแบบเดียวกัน
ภาพของรถไฟขบวนแรกในตอนนั้น กับภาพดาวเทียมไทยคม
ก็คือสภาวะทางจิตวิทยาของคนไทยที่เห็นว่าตนเองทัดเทียม “อารยประเทศ" แล้วนั่นเอง และสิ่งที่มีเหมือนกันก็คือ รถไฟขบวนแรกนั้นคนอื่นสร้างและเราซื้อ เช่นเดียวกับดาวเทียมไทยคม ขณะที่เรามีภาพฝันของสังคมไทยในยุคนิกส์ ประเทศที่เราซื้อเทคโนโลยีจากเขากำลังพูดกันถึงสังคมหลังอุตสาหกรรมและหลังยุคใหม่ ความแตกต่างตรงนี้เป็นอย่างไร? มีรากฐานที่ตรงไหน? เราจะได้พิจารณาถึงเรื่องเหล่านี้เช่นกันในตอนต่อๆ
ไป
ประการที่สอง กระบวนการเข้าสู่ความทันสมัย (ที่เรียกกันว่า Modernization) นี้เป็นสิ่ง “ซ้ำซาก" ที่แสดงออกมาให้เห็นมาเนิ่นนานแล้ว นับแต่ยุคทำสัญญาเบาว์ริ่งในสมัยรัชกาลที่สี่
ที่รัฐไทยในตอนนั้นเริ่มส่งข้าวออกนอกอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทำไมทุกวันนี้สังคมไทยยังดำเนินไปภายใต้กระบวนการปรับตัวสู่ความทันสมัยอีก?
สภาพการณ์แบบใดที่เป็นความต่างไปจากเดิมอันทำให้กระบวนการของสังคมไทยปัจจุบันในการเข้าสู่ความทันสมัยมีกระบวนการที่ต่างไปจากเดิม?
เราจะได้พิจารณากันต่อไปว่า ยุคใหม่ในฐานะที่เป็นยุคหนึ่งที่มีพื้นที่เฉพาะในมิติเวลานั้นเป็นอย่างไร
สังคมไทยสัมผัสอุดมคติแห่งยุคดังกล่าวมากน้อยเพียงไร
โดยสรุป เรากล่าวได้ว่า
มีความเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมรอบตัวเราอย่างเห็นได้แจ่มชัด
คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยมีสภาพทางจิตใจที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง และคนอีกจำนวนหนึ่งไม่พร้อมรับการปรับเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม สังคมไทยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ดำเนินไปในการเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราความเร็วใกล้เคียงหลายส่วนร่วมโลก
ไม่ว่าเราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็ตาม สังคมไทยกำลังเข้าสู่ศตวรรษใหม่ จึงเป็นเวลาสำคัญของการพิจารณามองไกลเพื่อย้อนกลับมาทบทวนตนเองเพื่อไม่ให้เดินหลงวนในเขาวงกต
สิ่งนี้นั้นเป็นความจำเป็นพื้นฐานที่เราไม่อาจละเลย
(๒) โลกหลังยุคใหม่: ผลพวงจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
(๑)
ลงพิมพ์ใน ไทยไฟแนนเชี่ยล , 25 ม.ค. 2537
การปฏิวัติบอลเชวิกและกำเนิดสหภาพโซเวียต
ในตอนบ่ายของวันที่ ๖ พฤศจิกายน(๒๔ ตุลาคม ตามศักราชเก่า) ค.ศ.๑๙๑๗
เลนินผู้นำแห่งพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย (บอลเชวิก)
ได้เขียนจดหมายถึงคณะกรรมการกลางพรรค มีใจความชี้แนะให้พรรคและพันธมิตรรีบยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลเคเรนสกี
ซึ่งเป็นรัฐบาลชั่วคราวหลังการล้มอำนาจรัฐของราชวงศ์โรมานอฟ "เราจักต้องไม่รอคอยต่อไปอีก!
เราอาจจะสูญเสียทุกสิ่ง!" [Lenin 1917:p.263] . "ประวัติศาสตร์จะไม่ให้อภัยนักปฏิวัติผู้เฝ้าผลัดวันประกันพรุ่ง ในเมื่อพวกเขาอาจเอาชัยได้ในวันนี้ (และแน่นอนว่าพวกเขาจักได้ชัยชนะในวันนี้แน่) ในขณะที่พวกเขาเสี่ยงต่อการสูญเสียมากขึ้นในวันพรุ่งนี้ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงพวกเขาจะเสี่ยงต่อการสูญเสียทุกๆ สิ่ง"
[Lenin 1917:p.264]
ในคืนนั้นเอง เลนินได้เดินทางมาถึงพระราชวังสโมลนี
(Smolny)
และกำกับการติดอาวุธลุกขึ้นสู้เพื่อยึดอำนาจรัฐจากที่นั่น
นี่คือจุดแตกหักกับอำนาจรัฐเดิมและนำไปสู่การกำเนิดของ"สหภาพโซเวียต" สาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งแรกของโลกในเวลาต่อมา
(สหภาพของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตที่ประกอบด้วย ๑๕ สาธารณรัฐ
ซึ่งได้รับการเรียกขานภายใต้นามนี้เมื่อ ๓๐ ธันวาคม ๑๙๒๒) ชาวพรรคบอลเชวิกผู้ขึ้นมากุมอำนาจโซเวียต
(สภา) ของตัวแทนคนงาน, ทหาร และชาวนา ได้ตัดสินใจเลือกการใช้อาวุธยึดอำนาจรัฐจากรัฐบาลเคเรนสกีหลังจากพิจารณาแล้วว่า
ไม่มีหนทางสันติเปิดให้กับการปฏิวัติสังคมนิยมอีกต่อไป
การตัดสินใจของรัฐบาลชั่วคราวที่ให้ทหารใช้อาวุธสังหารผู้เดินขบวนประท้วงที่เมืองเปโตรกราด
ที่ประท้วงการออกคำสั่งรัฐบาลให้ดำเนินการสงครามกับเยอรมนีต่อไปเมื่อเดือนมิถุนายน
๑๙๑๗ รวมทั้งการสั่งจับเลนินและผู้นำคนอื่นๆ ของพรรคบอลเชวิก
ได้นำไปสู่การตัดสินใจลุกขึ้นสู้ยึดอำนาจรัฐในท้ายที่สุด
ในคำประกาศว่าด้วยสิทธิของผู้ใช้แรงงานและผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ
เลนินผู้ร่างคำประกาศนี้ได้ระบุอย่างแจ่มชัดในตัวคำประกาศตอนหนึ่งว่า "สาธารณรัฐโซเวียตรัสเซียได้รับการก่อตั้งขึ้นบนหลักการว่าด้วยการมารวมกันอย่างเสรีของประชาชาติเสรี
ในฐานะที่เป็นสมาพันธ์แห่งสาธารณรัฐประชาชาติโซเวียต...จุดประสงค์พื้นฐานแห่งสาธารณรัฐนี้ ได้แก่ การทำให้การเอารัดเอาเปรียบที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันในรูปแบบใดๆ
นั้น หมดสิ้นไปโดยสิ้นเชิง
การกำจัดการแบ่งสังคมเป็นชนชั้นให้หมดไปโดยสิ้นเชิง
การเข้าปะทะอย่างไร้ความปราณีต่อประดาผู้เอารัดเอาเปรียบที่ทำการต่อต้าน การก่อตั้งองค์กรสังคมนิยมของสังคม
และการทำให้สังคมนิยมได้ชัยชนะในทุกประเทศ" [Lenin 1918:p.293]
ปี ๑๙๑๘ จึงเป็นปีที่หนึ่งแห่งการก่อตั้งสหภาพโซเวียต
อันเป็นผลโดยตรงจากเหตุการณ์ที่เรียกกันในเวลาต่อมาว่า "การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่แห่งเดือนตุลาปี ๑๙๑๗"
การปฏิรูป”เปเรสตรอยกา”และการคิดอย่างใหม่
เลนินได้กล่าวถึงความสำคัญของการปฏิวัติเดือนตุลานี้ว่า "อย่างไรก็ตาม สำหรับช่วงเวลาปัจจุบันแห่งประวัติศาสตร์นี้ แบบอย่าง(การปฏิวัติ)ของรัสเซียได้เผยให้ประเทศทั้งปวงได้เห็นบางสิ่ง
-บางสิ่งซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง- สำหรับอนาคตอันใกล้และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สำหรับประเทศเหล่านั้น
คนงานที่ก้าวหน้าในดินแดนต่างๆ ได้ตระหนักรู้มานานแล้วในสิ่งนี้ เหนืออื่นใดพวกเขาสัมผัสมันด้วยสัญชาติญาณที่ปฏิวัติยิ่งกว่าตระหนักรู้มัน ตรงนี้เองที่ความสำคัญเชิงสากล
(ตามความหมายแคบๆ ของคำ) ของอำนาจโซเวียต
และของพื้นฐานทางยุทธวิธีและทฤษฎีของบอลเชวิกมีฐานอยู่ ..."
[Lenin 1920:p.343] สำหรับเลนินแล้วการปฏิวัติรัสเซียเป็นจุดตั้งต้นของการปฏิวัติโลก ประเทศที่ล้าหลังที่สุดในยุโรปได้กลายมาเป็นประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก
และเป็นตัวแบบการปฏิวัติของประเทศอื่นๆ แทน
คำกล่าวข้างต้นของเลนินไม่ใช่การคุยโว สงครามกลางเมืองในรัสเซียระหว่างปี
๑๙๑๘-๑๙๒๑ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส
และอเมริกาได้ส่งทหารเข้าช่วยฝ่ายรัสเซียขาวเพื่อล้มการปฏิวัติของรัสเซีย (แต่ล้มเหลว) ตรงนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนว่า ผู้นำของประเทศตะวันตกตั้งแต่ในขณะนั้นต่างก็เห็นว่า
การปฏิวัติที่เกิดขึ้นในรัสเซียมีความหมายโดยนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกด้วย
ในวันที่ ๑๘
กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๘. ๗๐ ปีต่อมา ประธานาธิบดีในช่วงนั้นของสหภาพโซเวียต
นายกอร์บาชอฟได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตท่อนหนึ่ง
มีใจความว่า "ในวันนี้ ดังที่เราได้ก้าวเข้าสู่ขั้นตอนที่สำคัญของความพยายามถ่ายทอดการตัดสินใจที่รับรองกันแล้วนั้นให้เข้าสู่การดำเนินชีวิต ดังที่การเมืองได้กลับเข้าสู่การปฏิบัติการในชีวิตประจำวันและเปเรสตรอยกาได้ลงรากฐาน
ผลประโยชน์อันมีชีวิตชีวาของประชาชนนับสิบล้านและของสังคมทั้งสังคมกำลังได้รับการผลักดันเข้าสู่ระดับที่กว้างขวาง ประเด็นที่เคยให้คำตอบกันมาแล้วได้กลับมาเป็นหัวข้อที่หยิบยกขึ้นมาพูดคุยถึงอีกครั้ง
ประชาชนต้องการเข้าใจให้มากขึ้นเกี่ยวกับสาระสำคัญหลักและเป้าประสงค์ของเปเรสตรอยกา
สาระหลักของการเปลี่ยนแปลงที่ได้เริ่มต้นขึ้นในสังคมของเรา พวกเขาต้องการเข้าใจว่าเรากำลังเคลื่อนไปที่ไหน เป้าสูงเพียงไรที่เราพยายามกระทำให้บรรลุผล
เราหมายความกระไรกันที่เราเรียกกันว่าคุณภาพใหม่ของสังคม
อันเป็นสิ่งที่เราต้องการบรรลุให้ถึง [Gorbachev 1988:p.7]
การผ่านกฎหมายฉบับใหม่ด้านการดำเนินเศรษฐกิจวิสาหกิจในเดือนมิถุนายน
๑๙๘๗
ซึ่งทำให้รัฐวิสาหกิจในโซเวียตมีความยืดหยุ่นในการจัดการเชิงเศรษฐกิจของตนเองได้
เช่น กำหนดความเหมาะสมเองในการทำให้บรรลุเป้าหมายทางการผลิต
การแสวงหากำไร
การเก็บกำไรที่ได้ไว้ส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งโดยไม่ต้องส่งให้กับรัฐ
การยินยอมให้ส่วนการผลิตที่ไม่ทำกำไรต้องล้มไป
การอนุญาตให้ทำธุรกิจขนาดเล็กร่วมกัน การทำนาขนาดครอบครัวได้ เป็นต้น
ถือได้ว่าเป็นการเปิดศักราชของการปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า”เปเรสตรอยกา” (การสร้างโครงสร้างขึ้นใหม่)
อย่างจริงจัง
และทำให้ระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ ซึ่งมีปัญหามายาวนานถึงจุดตั้งต้นฉากจบอย่างเป็นทางการ การดำเนินนโยบาย”กลาสนอสต์” (การเปิดกว้าง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างประชาธิปไตย
นับเป็นจุดตั้งต้นทางการอย่างจริงจังในการสร้างระบบการเมืองและสังคมแบบเปิดภายในสังคมโซเวียต มีการทบทวนความผิดพลาดในอดีตอย่างจริงจังและมีการแก้ไขประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง
โดยยอมรับความผิดพลาดต่างๆ เหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ดังที่เราต่างได้ทราบจากหน้าหนังสือพิมพ์
การปฏิรูปดังกล่าวนี้หาได้ดำเนินไปอย่างราบลื่นไม่
กอร์บาชอฟกล่าวว่า "เป็นเวลาร่วม ๗๐ ปีที่พรรคและประชาชนของเราได้แรงดลใจจากความคิดสังคมนิยมและได้ก่อร่างสร้างมันขึ้นมา ทว่าด้วยปัจจัยภายในและภายนอก เราจึงยังไม่อาจบรรลุผลโดยเต็มที่ตามหลักการของลัทธิเลนินนิสม์แห่งระบบสังคมใหม่ สิ่งนี้ถูกตีกระหน่ำอย่างรุนแรงจากแนวทางส่วนบุคคล
(the personality cult) ระบบการจัดการที่มีที่มาจากการวิวัฒน์ในยุค ๓๐ มารวมกันของระบบข้ารัฐการ การยึดมั่นฝังหัวอย่างทื่อๆ
การเบี่ยงเบนและการจัดการตามอำเภอใจอย่างจงใจ ร่วมกันกับที่มาจากยุคปลาย ๗๐ และต้น ๘๐ ได้แก่
การขาดการริเริ่มใหม่ๆ และการขัดขวางซึ่งส่งผลสู่สภาพชะงักงัน ปรากฏการณ์เหล่านี้
รวมถึงส่วนที่ยังคงตกค้างมาและเหลือรอดอยู่ถึงปัจจุบัน จักต้องกลายเป็นอดีตไป"
[Gorbachev 1988:p.12]
กอร์บาชอฟได้กล่าวถึงความจำเป็นของ”การคิดอย่างใหม่”
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปเปเรสตรอยกาบรรลุเป้าหมายได้
อันหมายถึงการบรรลุเป้าหมายของสังคมแบบสังคมนิยมในท้ายที่สุด
การคิดอย่างใหม่ตามทัศนะของกอร์บาชอฟคืออะไร?
๑. ในระดับกรอบกว้าง
ดังคำให้สัมภาษณ์ของกอร์บาชอฟต่อผู้สื่อข่าวนิตยสารไทม์ "ตามทัศนะของข้าพเจ้า
“การเป็นคอมมิวนิสต์”หมายความถึง การไม่หวาดเกรงต่อสิ่งใหม่ๆ การปฏิเสธความคิดแบบที่ยึดมั่นฝังหัว ไม่ตรวจสอบ
การคิดอย่างเป็นอิสระ
การนำเอาความคิดและแผนการณ์ในการกระทำของตัวเรามาตรวจสอบด้วยศีลธรรม และโดยผ่านการปฏิบัติการทางการเมือง
เพื่อช่วยผู้ใช้แรงงานให้ตระหนักในความหวัง, ลมหายใจของพวกเขา และมีชีวิตด้วยความสามารถของพวกเขาเอง ข้าพเจ้าเชื่อว่าการเป็นคอมมิวนิสต์ในปัจจุบันนี้หมายถึง
การเป็นประชาธิปไตยอย่างคงเส้นคงวา และการยกคุณค่าสากลของมนุษย์ไว้เหนือสิ่งอื่นใด
ทั้งยังหมายความอีกด้วย ถึงความสามารถที่จะทำตนให้สอดคล้องไปกันกับผลประโยชน์อันมีชีวิตชีวาของประชาชน
และเข้าใจถึงความสำคัญของประเด็นระหว่างประเทศและระดับโลก ที่กำหนดชะตากรรมร่วมกันของมนุษยชาติ"
[Gorbachev 1990:p.17]
โดยสรุป “การคิดอย่างใหม่”ในที่นี้ก็คือ การไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบทางความคิดแบบเดิมๆ ที่อิงวาทศิลป์จากอุดมการณ์ของรัฐ
โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงและการตรวจสอบตนเอง (ที่จริงความคิดเช่นนี้นั้น
"ใหม่" สำหรับคนบางกลุ่ม แต่สำหรับคนบางกลุ่มเช่นนักปรัชญา นี่เป็นความเคยชินและเป้าหมายหนึ่งอยู่แล้ว โดยไม่สนใจว่ามีความคิดทางการเมืองแบบใด) ตรงนี้เป็นการเสนอแนวทางการมองโลกและชีวิตที่แตกต่างไปจากนักมาร์กซิสต์
เลนินนิสต์สายสตาลิน และพวกยึดคัมภีร์โดยไม่วิพากษ์ในสหภาพโซเวียต
๒. ในระดับการจัดการปัญหาเฉพาะ
จากกรอบดังกล่าวได้ให้แนวทางใหม่ในการแก้ปัญหาเฉพาะต่างๆ หลายปัญหา
ดังเช่น
๒.๑ การแก้ปัญหาระหว่างประเทศ เช่น ปัญหาการเผชิญหน้ากันทางการทหาร
การแข่งขันกันสะสมหัวรบนิวเคลียร์ ปัญหาการเมืองระดับภูมิภาคที่มีผู้เข้าร่วมหลายฝ่าย
ดังกรณีสงครามกลางเมืองในอัฟกานิสถาน เป็นต้น.
กอร์บาชอฟยินยอมตั้งต้นทำลายหัวรบนิวเคลียร์แต่ฝ่ายเดียวก่อน แม้ว่าความคิดที่เสนอให้มีการลดอาวุธสงครามแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องคำนึงว่าฝ่ายอื่นจะปฏิบัติตามหรือไม่นี้
เป็นสิ่งที่นักจริยศาสตร์สงครามได้เสนอไว้ก่อนหน้านี้เป็นทศวรรษแล้วก็ตาม
การดำเนินการทดลองทำอย่างเป็นรูปธรรมเพิ่งตั้งต้นในครั้งนี้
อีกทั้งกลับไม่ใช่เป็นการตั้งต้นจากฝ่ายโลกเสรีที่นักปรัชญาแขนงดังกล่าวเสนอเหตุผลว่าควรทำ
แต่กลับมีการทดลองทำจากประเทศที่ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในหัวหน้า "ผู้ร้ายของโลก"
การถอนทหารจากอัฟกานิสถาน การไม่เข้าไปแทรกแซงเพื่อหยุดยั้งการเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศยุโรปตะวันออก
ทั้งที่ในอดีตโซเวียตเคยส่งกองทัพไปหยุดขบวนการประชาธิปไตย และบังคับรัฐบาลประเทศเหล่านั้นให้ดำเนินนโยบายตามโซเวียต
ตรงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจนทำให้นักวิเคราะห์ทางการเมืองเห็นพ้องกันว่า
การปฏิวัติประชาธิปไตยในยุโรปตะวันออกดำเนินไปได้อย่างสันติ เพราะการช่วยเหลือจากทางบน
ประเทศที่ต้องมีการจลาจลจนเกิดการนองเลือดกลับเป็นโรมาเนียภายใต้เผด็จการเชาเชสกู ผู้ซึ่งแสดงท่าทีเป็นอิสระจากโซเวียตมาตลอด.
โดยแนวนโยบายนั้นใช้การดำเนินการเจรจาโดยสันติและให้บทบาทกับองค์กรระหว่างประเทศเช่นสหประชาชาติเป็นตัวกลางหลัก
๒.๒ การเห็นความสำคัญของปัญหาระดับโลก เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อมโลก
ไม่ว่ากรณีการกระจายรังสีปรมาณู ดังกรณีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลเกิดอุบัติเหตุ การลดตัวของชั้นโอโซนที่ช่วยกรองรังสีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ปัญหาฝนกรด และกรีนเฮ้าเอฟเฟกส์
ปัญหาการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ที่เป็นปอดและแหล่งรักษาสมดุลในธรรมชาติของโลก
เป็นต้น. สหภาพโซเวียตได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งที่พยายามแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง
ทั้งภายในสหภาพและภายนอกประเทศ
๒.๓
การยอมรับหลักการเดียวกันกับที่รับรองโดยสหประชาชาติ ในที่นี้คือ ”หลักการว่าด้วยสิทธิมนุษยชน” ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ในแง่นี้เป็นการยอมรับคุณค่าแบบเสรี (ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
Liberal virtues) ด้วยว่า มีความจำเป็นสำหรับพัฒนาการมนุษย์
เราจึงกล่าวได้ว่าในปลายทศวรรษ ๑๙๘๐
การทดลองใหม่ๆ ทางการเมืองและสังคมได้ตั้งต้นขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง หนึ่งในผู้กล้าหาญทดลองของใหม่ก็คือสหภาพโซเวียต
ภายใต้การนำของกอร์บาชอฟ. ในระดับภายในสังคมโซเวียต
กอร์บาชอฟต้องเผชิญหน้าจากทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมหัวแข็งภายในพรรคคอมมิวนิสต์ที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงแนวทางจากเดิม
ในอดีตประธานาธิบดีครุสชอฟเคยได้รับการต่อต้านจนต้องหลุดจากอำนาจ ประธานาธิบดียูริ
อันโดปอฟขึ้นสู่อำนาจและพยายามดำเนินการปฏิรูปได้เพียงช่วงสั้นๆ ก็ป่วยและถึงแก่กรรม
และยังตามมาด้วยการผลักดันพวกหัวเก่าเช่นเชอร์เนนโกให้ขึ้นครองอำนาจ (ก่อนสมัยของกอร์บาชอฟ)
สิ่งที่กอร์บาชอฟกล้าดำเนินการ จึงมีความหมายอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในดินแดนที่ประกอบกันเป็นสหภาพโซเวียตเอง
ในระดับระหว่างประเทศ การทดลองของกอร์บาชอฟได้ส่งผลมากมายในวงกว้าง ผลสำคัญอย่างหนึ่งคือ การนำไปสู่การสิ้นสุดของการเผชิญหน้าระหว่างสองค่าย คือ
“ค่ายหลังม่านเหล็ก” กับ ”โลกเสรี” ที่เราเรียกการเผชิญหน้าดังกล่าวว่า”สงครามเย็น”นั่นเอง
แม้ว่านักวิเคราะห์ทางการเมืองจำนวนมากจะมองเห็นการเกิดปัญหาเรื่องกำเนิดใหม่ของแนวคิดเผ่าพันธุ์นิยม
และความเป็นไปได้ของการแตกสลายของสหภาพโซเวียต
แต่ก็คาดการณ์กันไม่ถึงว่า การล่มสลายของสหภาพโซเวียตจะเกิดขึ้นตามมาในเวลาอันสั้น
หลังจากการปฏิรูป”เปเรสตรอยกา”และ”กลาสนอสต์” กระแสลมแห่งเปเรสตรอยกาส่งผลอย่างไรต่อโลก? ผลพวงจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตไปไกลเพียงไร?
เราจะได้พิจารณากันต่อไป
(๓) โลกหลังยุคใหม่: ผลพวงจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต (๒)
"ด้วยเหตุว่าสิ่งที่เรากำลังเฝ้าดูอยู่นี้ก็คือ
แนวโน้มของการมาประจวบกันอย่างสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ การเปลี่ยนรูปการทำการผลิต อันมาพร้อมกันกับการเปลี่ยนรูปตัวทุนและเงินเอง
สองสิ่งนี้ร่วมกันก่อรูประบบใหม่ที่ปฏิวัติในการสร้างสรรค์ทรัพย์สินบนผืนพิภพนี้"
[Toffler1990:p.80]
นี่คือข้อสังเกตของอันวิน ทอฟเฟลอร์ นักอนาคตวิทยาผู้โด่งดัง ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจสังคมในยุคที่เขาเรียกชื่อว่า
“ยุคการเปลี่ยนแปลงคลื่นลูกที่สาม” เรากำลังอยู่ที่ชายขอบของศตวรรษที่ ๒๑ เรากำลังยืนอยู่ในการท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ในระดับที่รวดเร็วรอบตัว เราอันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสาร ผลพวงหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ได้แก่ การสลายรูปแบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างชาติมหาอำนาจของโลกทั้งสองค่ายลงไปด้วย
ปรากฏการณ์ดังเช่นการล่มสลายของรัฐสังคมนิยมในยุโรปตะวันออก (และของสหภาพโซเวียตเอง) เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้าและไม่ได้เป็นอุบัติเหตุ
กอร์บาชอฟได้ประกาศว่า "เราเกือบจะเป็นหนึ่งในพวกท้ายที่สุด ที่ได้ตระหนักรู้ว่า ในยุคของศาสตร์แห่งข่าวสาร
ทรัพย์สินที่แพงที่สุดก็คือความรู้"
ทอฟเฟลอร์เห็นว่า กอร์บาชอฟเป็นผู้นำโซเวียตคนแรกที่ตระหนักรู้ถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่า
รัฐสังคมนิยมในปัจจุบันได้กลายเป็นกลุ่มปฏิกิริยาล้าหลัง (ลองเปรียบเทียบกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยดูได้ว่าล้าหลังใกล้เคียงกันอย่างไร)
ที่อยู่ใต้การนำของพวกสหายแก่ๆ ที่มีสายตามองโลกในแบบนักเทววิทยาแห่งศตวรรษที่
๑๙ การปฏิวัติที่แท้จริงตามที่ชาวมาร์กซิสต์ใช้คำว่า
การเปลี่ยนแปลงที่ก้าวกระโดดเชิงคุณภาพนั้น กลับเกิดขึ้นในประเทศทุนนิยมที่มีฐานอยู่บนความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
–เทคโนโลยีไฮเทคนี้เอง [ดู Toffler
1990:บทที่31]
เมื่อมองจากแง่นี้ การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและรัฐสังคมนิยมเป็นผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาข้างต้น
และล่มสลายเพราะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทันนั่นเอง
เราจะได้กลับมาพิจารณาประเด็นนี้อีกครั้ง
พายุเปเรสตรอยกา: เสียงสะท้อนการเปลี่ยนแปลง
ความพยายามทำรัฐประหารโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยมในพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต
มีผลให้บอริส
เยนต์ซิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐรัสเซีย ซึ่งมีฐานะเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียต
ได้แสดงบทบาทนำทางการเมืองในสหภาพโซเวียตแทนกอร์บาชอฟผู้เป็นประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต ในขณะที่กอร์บาชอฟและครอบครัวถูกคณะผู้ก่อรัฐประหารกักบริเวณไว้จึงไม่อาจดำเนินการอะไรยับยั้งการรัฐประหารได้
เยนต์ซินก็ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้ยืนหยัดคัดค้านการรัฐประหารต่อไปในบริเวณรัฐสภาโซเวียต และเมื่อการรัฐประหารต้องล้มเหลวไปและคณะผู้ก่อการได้เปลี่ยนสถานะเป็นกบฎถูกจับกุมแทน
เยนต์ซินก็ได้ใช้โอกาสที่เปิดให้นี้นำตนขึ้นสู่สถานะผู้กำหนดชะตากรรมของสหภาพโซเวียตโดยบริบูรณ์. เยนต์ซินได้กล่าวกับกอร์บาชอฟว่า
บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่กอร์บาชอฟจักต้องลาออก และจะไม่มีสหภาพโซเวียตอีกต่อไป
ในเดือนธันวาคมปี๑๙๙๑
กอร์บาชอฟได้เป็นประธานาธิบดีคนสุดท้ายแห่งสหภาพโซเวียตเมื่อเขาได้ลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ บัดนี้สหภาพโซเวียตได้ล่มสลายแล้ว! อะไรคือผลที่ตามมาจากเหตุการณ์ดังกล่าว?
การปฏิรูปทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองยังดำเนินต่อไป (ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ)
ในดินแดนต่างทั้งหลายที่เคยประกอบกันเป็นสหภาพโซเวียต
แม้ว่าจะไม่มีสหภาพโซเวียตอีกแล้ว กระนั้น กระแสลม”เปเรสตรอยกา”และ”กลาสนอสต์”
ที่มีกำเนิดจากกอร์บาชอฟไม่ได้สลายไปด้วย
อีกทั้งยังพัดไปทั่วโลกอีกด้วย แรงลมนี้รุนแรงราวพายุ ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้ได้?
๑. แม้ว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า”เปเรสตรอยกา”นี้จะเป็นความพยายามปรับตัวเพื่อแก้ไขปัญหาภายในสหภาพโซเวียตเองก็ตาม เราอาจกล่าวได้ว่าเปเรสตรอยกายังมีฐานะเป็นดัชนีตัวหนึ่ง
ที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดจากตัวโครงสร้างเอง เพื่อให้ประชาชาตินั้นๆ
อยู่รอดได้จริงในโลกยุคปัจจุบัน
อันเป็นโลกที่ระบบทุนนิยมเข้มแข็งในแง่การดึงส่วนอื่นๆ ของโลกให้มาอยู่ร่วมกันภายใต้โครงสร้างเดียวกันที่เรียกว่า”ระบบตลาดโลก”
ในแง่หนึ่งกล่าวได้ว่า กำเนิดสหภาพโซเวียตเป็นการตั้งต้นอย่างเป็นรูปธรรมในต้นศตวรรษที่
๒๐ในการทดลองทางเลือกของกลุ่มชนที่ต้องการแสวงหาทางออกจากการถูกดึงเข้าสู่ระบบทุนนิยมโลก โดยเป็นการทดลองแบบที่ไม่เอารูปแบบสังคมเดิมเช่นสังคมศักดินายุโรป
ซึ่งในตอนนั้นกำลังสลายไปโดยการเข้ามาแทนที่ของระบบทุนนิยม
แต่นั่นเป็นยุคของการขยายตัวของทุนนิยมในระยะที่เลนินเรียกว่า”ทุนนิยมยุคจักรวรรดินิยม” สำหรับการสร้าง
แนวเลือกใหม่ของฝ่ายสังคมนิยมในช่วงใกล้ๆ ก่อนการล่มสลายของสหภาพโซเวียตนั้น
มีความพยายามที่จะทดลองแนวทางที่เรียกว่า”สังคมนิยมการตลาด” แต่แนวทางหลังนี้หมดโอกาสทดลองด้วยเหตุว่า การสลายตัวของยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียตเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
พร้อมกับการกระโดดเข้าสู่กระแสทุนนิยมโลกอย่างไม่ถอนตัว
๒. การปรับตัวดังกล่าวนี้
เป็นการปรับตัวบนฐานของการยอมรับว่า ระบบจัดการแบบวางแผนจากส่วนกลางมีปัญหา
และเราไม่อาจตัดบทบาทของกลไกตลาดจากระบบเศรษฐกิจได้ ปัญหาจึงอยู่ที่จะทำอย่างไรกับกลไกดังกล่าวจากฐานระบบของตน
นี่ไม่ใช่ปัญหาของรัฐสังคมนิยมเท่านั้น
แต่เป็นปัญหาของประเทศโลกที่สามด้วย รัฐควรเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาดหรือไม่?
ขอบเขตแค่ไหนที่ทำได้?
๓. การเปิดกว้างทางการเมืองที่เรียกว่า
“กลาสนอสต์”นี้ถือได้ว่า เป็นตัวแทนหนึ่งที่สะท้อนปัญหาร่วมกันของประเทศจำนวนมากในโลกที่ยังมีโครงสร้างเป็นสังคมปิดอยู่
ในขณะที่ความก้าวหน้าจากการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารกำลังส่งผลให้ปิดสังคมต่อไปไม่ได้ ในแง่นี้”กลาสนอสต์”ก็คือ
เสียงแห่งความต้องการการปฏิรูปประชาธิปไตยในทุกสังคมนั่นเอง ด้านหนึ่งของสังคมเปิดก็คือ กระบวนการกระจายอำนาจ
อันเปิดสู่รูปแบบการปกครองตนเองของประชาชนในแต่ละท้องถิ่น
การกระจายอำนาจนี้อาจเกิดได้ทั้งจากการกระตุ้นและทำให้เป็นรูปธรรมจริงโดยฝ่ายรัฐเป็นผู้ริเริ่ม หรือจากการที่ประชาชนในส่วนต่างๆ ดำเนินการกันไปเองและส่งผลให้การกระจายอำนาจต้องเกิดขึ้นในท้ายที่สุด
ไม่ว่ารัฐนั้นๆ จะยินยอมคายอำนาจให้หรือไม่ก็ตาม
หากอำนาจรัฐส่วนกลางไม่พยายามกระจายอำนาจจริง
ในท้ายที่สุดประชาชนก็อาจต้องเลือกการลุกฮือขึ้นสู้เพื่อสลายอำนาจรัฐส่วนกลางก็ได้
ปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองในโลกปลายศตวรรษที่ ๒๐นี้ ดังเราได้รับทราบจากสื่อสารมวลชนต่างๆ ก็คือ กระแสของการเรียกร้องประชาธิปไตยและการปกครองตนเองในท้องถิ่น อันรวมถึงการจัดการวิถีดำเนินชีวิต และการจัดการบริหารทรัพยากรท้องถิ่นของตนนั่นเอง
ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เป็นแค่สภาวะทางจิตใจของคนจำนวนมากที่บังเอิญมีตรงกัน
แต่ยังเป็นสภาพการณ์ทางภาววิสัยอันมีฐานจากปัญหาที่สั่งสมมาในแต่ละสังคม ที่มีที่มาจากการรวมศูนย์อำนาจแล้วศูนย์อำนาจนั้นๆ
ไม่อาจแก้ปัญหาส่วนท้องถิ่นได้จริง เพราะตัวโครงสร้างรวมศูนย์เองเป็นต้นตอของปัญหา
ตรงนี้เองที่เรากล่าวได้ว่า พายุ”เปเรสตรอยกา”และ”กลาสนอสต์”ยังพัดกระหน่ำโลกอยู่ ในหลายดินแดนได้พัดเอาโครงสร้างเดิมๆ พังทลายลง ในประเทศต้นลมก็ยังได้พัดเอาฐานผู้ก่อลมพังทลายลงด้วย
ผลจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
เยนต์ซิน
ในสมัยยังมีสหภาพโซเวียตภายใต้ประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ เคยกล่าวไว้ว่า "ลองดูชะตากรรมของพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกสิ
พวกเขาไม่เข้าใจถึงบทบาทของตนเอง พวกเขาจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ที่อีกฟากของถนน"
[Time, July 16,1990] เมื่อผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังสวนกระแสความต้องการของประชาชน
อีกทั้งยังยืนหยัดในการใช้แนวทางจัดการปัญหาแบบเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาเหล่านี้เองที่เป็นผู้ขุดหลุมฝังตัวเอง
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตมีความหมายอย่างไร
๑. กล่าวได้ว่า
การเผชิญหน้ากันในรูปแบบที่เรียกว่าสงครามเย็นของสองค่ายได้ถึงจุดยุติโดยบริบูรณ์ ในแง่หนึ่งคำของอดีตประธานาธิบดีบุชที่ว่า โลกกำลังเข้าสู่ระยะของ”การจัดระเบียบโลกใหม่” มีส่วนที่ถูก หากเราพิจารณาจากแง่ดุลอำนาจที่เปลี่ยนแปลงไปและความไม่ลงตัวที่เกิดขึ้นเมื่อดุลอำนาจเปลี่ยน ช่วงเวลาเช่นนี้เราอาจเรียกอีกอย่างได้ว่า “ระยะของความไร้ระเบียบใหม่” สำหรับนักวิเคราะห์บางคนเช่น ทอฟเฟลอร์
เขาเห็นว่าสงครามครั้งนี้ไม่มีผู้ชนะ มหาอำนาจทั้งสองต่างก็แพ้
มหาอาณาจักรต่างหากที่กำลังสลายตัวไม่ว่าในโลกฟากใด
๒. ดังที่สหภาพโซเวียตเป็นรัฐสังคมนิยมแห่งแรกในโลก
และเป็นตัวแบบของประเทศคอมมิวนิสต์จำนวนมาก มีคนจำนวนไม่น้อยที่ด่วนสรุปว่า การล่มสลายของสหภาพโซเวียตคือการล่มสลายของความคิดสังคมนิยม
ตรงนี้เป็นจริงหรือไม่? ถ้ามองอย่างเป็นธรรม
เราต้องตอบคำถามต่อไปนี้ก่อน อะไรคืออุดมคติของสังคมนิยม?
อุดมคติดังกล่าวมีส่วนที่สอดคล้องกับเราหรือไม่? ในเมื่อเราไม่ใช่มนุษย์หัวกลวงที่คิดตามที่ถูกยัดใส่หัวมา การตอบคำถามตรงนี้ก่อนแสดงความดีใจกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตนั้น
ถือได้ว่าเป็นความจำเป็น
ก่อนอื่นเราควรพิจารณาทัศนะของนักคิดดังต่อไปนี้ก่อน
นอร์เบร์โต
บ็อบบีโอ (Norberto
Bobbio)
นักปรัชญาชาวอิตาเลียนมีความเห็นว่า
การล่มสลายของรัฐสังคมนิยมดังกล่าว นอกจากเป็นการล้มของรัฐบาลคอมมิวนิสต์
ยังเป็นการล้มเหลวของการปฏิวัติแบบที่ได้แรงดลใจจากอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ กล่าวคือ
อุดมการณ์ที่มุ่งการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างถึงราก เพื่อให้สังคมที่เอารัดเอาเปรียบและอยุติธรรมให้กลับกลายเป็นสังคมที่มีเสรีและยุติธรรม
[Bobbio
1989:p.1-4] แนวทางปฏิวัติด้วยปากกระบอกปืนโดยพรรคตัวแทนได้ถึงจุดเสื่อมความเชื่อถือในฐานะทางเลือกที่นำทางไปสู่อุดมคติได้จริง
นี่คือจุดเสื่อมของแนวเลือกนี้
ยิวร์เกน
ฮาเบอร์มาส (Jurgen
Habermas)
นักปรัชญาชาวเยอรมันนักคิดคนสำคัญในปัจจุบันเรียกปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงในยุโรปตะวันออกนี้ว่า “การปฏิวัติที่มุ่งฟื้นตัว” (The Revolutions of
Recuperation) กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงเพื่อกลับไปสู่ระบบประชาธิปไตยแบบมีรัฐธรรมนูญ
และเพื่อต่อเนื่องการพัฒนาไปกันกับทุนนิยมโลก ในแง่หนึ่งคือการกลับไปสานต่อการปฏิวัติของบูชัวร์(นายทุน) ที่ได้ตั้งต้นเมื่อก่อนมีการเปลี่ยนแปลงเป็นประเทศสังคมนิยมนั่นเอง
[Habermas 1990:p.25-31] ลักษณะเฉพาะของการปฏิวัติครั้งนี้จึงอยู่ที่การไม่มีความคิดแปลกใหม่หรือการคิดมุ่งสู่อนาคต เพราะข้อเรียกร้องทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งที่คุ้นหูเราอยู่แล้ว
เหมือนกับได้ยินการเรียกร้องแบบที่ใช้เมื่อครั้งการปฏิวัติประชาธิบไตยในฝรั่งเศสปี
๑๗๘๙ ดังเช่นการเรียกร้องการรับรองสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานของมนุษย์
อันเป็นพื้นฐานของสิ่งที่เราเรียกว่า”สิทธิมนุษยชน”ในปัจจุบันนี้นั่นเอง
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า
-
โมเดลการสร้างสังคมใหม่แบบของสังคมนิยมโซเวียต (หรือที่บ็อบบีโอเรียกว่า”คอมมิวนิต์ทางประวัติศาสตร์”)นั้น ได้รับการพิสูจน์จากประวัติศาสตร์แล้วว่าล้มเหลว
เมื่อนำไปสู่สังคมแบบที่ตรงกันข้ามกับอุดมคติแทน กล่าวคือ สังคมที่ไร้เสรีภาพและอยุติธรรมยังดำรงอยู่ แนวเลือกแบบนี้จึงได้หมดบทบาทไป
แต่ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดแบบสังคมนิยมนั้นล่มสลาย
แนวทางในประเทศทางยุโรปปัจจุบันเช่นพรรคกรีน หรือแนวสังคมประชาธิปไตยยังมีบทบาทอยู่ ที่จริงปัญหาที่สำคัญที่นำความล้มเหลวมาสู่แนวเลือกข้างต้นก็คือการรวมศูนย์อำนาจทั้งหมดไว้ที่ส่วนกลางนั่นเอง
-
อย่างไรก็ตาม เราต้องแยกสิ่งที่เรียกว่า”อุดมคติร่วมของการเป็นสังคมมนุษย์ที่ดี” ซึ่งไม่ได้เป็นของฝ่ายคอมมิวนิสต์แต่เพียงฝ่ายเดียว สิ่งนี้ได้แก่ สังคมที่มนุษย์มีเสรีภาพและความยุติธรรม “ตรงนี้เป็นเป้าหมายของสังคมที่ดีทุกสังคม” หากเราถือว่าการเฟื่องฟูของแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์คือการสะท้อนว่าสังคมนั้นๆ
มีปัญหาในเรื่องการเอารัดเอาเปรียบและการดำรงอภิสิทธิในกลุ่มชนส่วนน้อย
โดยที่คนส่วนใหญ่หรือส่วนท้องถิ่นต้องกลายเป็นผู้ด้อยโอกาสในสังคม
ในแง่นี้การปรากฏของแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ก็มีบทบาทในฐานะเป็น”ไฟแดงที่เตือนให้สังคมนั้นต้องหยุดคิด”
ก่อนจะเดินต่อไปสู่ความหายนะ
-
เราจะเห็นได้ว่าในท้ายที่สุด การสร้างหลักประกันทางสังคมต่อการดำรงชีวิตของคนแต่ละคนอย่างมีศักดิ์ศรีของมนุษย์และเสมอภาคกับคนอื่นๆ
นั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและรัฐยุโรปตะวันออก
ถือได้ว่าเป็นสิ่งเตือนใจรัฐทุกรัฐให้เร่งแก้ไขตนเองให้ถูกทาง ด้วยการสร้างหลักประกันสิทธิมนุษยชนนี้อย่างเป็นรูปธรรมจริงจัง
ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า
ภารกิจนี้เป็นสิ่งที่รัฐใดๆ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เว้นเสียแต่จะพอใจกับการที่ตนเองจะล่มสลายลงไป!
โลกปลายศตวรรษที่ ๒๐ ได้ผ่านบทเรียนที่สำคัญหลายประการ
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นหนึ่งในบทเรียนดังกล่าวดังที่เราได้อภิปรายมา
พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค บัดนี้โลกจะไม่เป็นเช่นดังเดิม แม้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ดังเช่นกำเนิดใหม่เผ่าพันธุ์นิยม
ปรากฏการณ์เช่นนี้ต้องการคำอธิบายอย่างเข้าใจว่าแตกต่างจากเดิมอย่างไร
การทดลองแนวเลือกบางแนวต้องถึงจุดยุติ (อีกทั้งยังชี้ปัญหาให้เราด้วย)
แต่ตรงนี้ไม่ได้ปิดกั้นการสร้างแนวเลือกและทดลองแนวใหม่ๆ
ดังที่เราได้เป็นประจักษ์พยานอยู่ในเวลานี้ นั่น คือแนวโลกที่ไร้การรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง.
(๔) โลกหลังยุคใหม่: ทุนนิยมที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์
ทุนนิยมในทัศนะของมาร์กซ์
"การค้นพบทองคำและเงินในอเมริกา การทำลายล้างอย่างถึงราก
การทำให้เป็นทาสและการทำให้คนพื้นเมืองในทวีปนี้ลงหลุมไปในเหมือง
การตั้งต้นของการเอาชัย และการใช้กำลังบังคับยึดเอาอินเดีย การกลายรูปแอฟริกาให้เป็นเขตสงวนสำหรับการล่าชนผิวดำเพื่อการค้า
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่แสดงลักษณะเวลาย่ำรุ่งยุคแห่งการทำการผลิตแบบทุนนิยม
กระบวนการฉากคั่นดังกล่าวนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการสั่งสมทุนแบบดั้งเดิม ด้วย
การก้าวเดินอย่างยากลำบากนี้
ยังตามมาด้วยสงครามการค้าระหว่างรัฐต่างๆ ในยุโรป
ซึ่งใช้ทั้งโลกเป็นสนามทำสงคราม
ตั้งต้นที่การปฏิวัติของเนเธอร์แลนด์ออกจากสเปน
ก่อมิติการเปลี่ยนแปลงระดับยักษ์ในอังกฤษที่เรียกว่าสงครามต่อต้านจาโคแบง และดำเนินมิติดังกล่าวต่อไปในรูปของสงครามฝิ่นที่ทำกับจีน" [Marx
1867:p.915]
นี่คือคำบรรยายท่อนหนึ่งในหนังสือเรื่อง
“ทุน” อันลือชื่อของคาร์ล มาร์กซ์ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับยุคต้นๆ
ของระบบทุนนิยมในกลางศตวรรษที่ ๑๙
การสั่งสมทุนแบบทุนนิยมกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และเริ่มต้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสั่งสมเงินและการไหลเวียนของสินค้าในระดับหนึ่ง. มาร์กซ์กล่าวว่า "ทั้งเงินและสินค้าเป็นสภาพการณ์พื้นฐานเบื้องต้นก่อนทุน
และจะพัฒนาไปเป็นทุนได้ภายใต้สถานการณ์จำนวนหนึ่ง
ทุนจะไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีฐานอยู่บนการไหลเวียนของสินค้า(รวมถึงเงิน) ดังเช่น เมื่อการค้าได้เติบโตแล้วถึงระดับที่กำหนดไว้ระดับหนึ่ง"
[Marx 1867:p.949] ในที่นี้เราสรุปได้ว่า
๑. แค่มีการทำการผลิตและมีการไหลเวียนของสินค้ายังไม่ทำให้เกิดวิถีการผลิตแบบทุนนิยม
๒. แต่การไหลเวียนของสินค้าร่วมกับลักษณะเฉพาะในการทำการผลิตบางรูปแบบ
จะเป็นพื้น
ฐานให้เกิดวิถีการผลิตแบบทุนนิยมได้...
"ในแง่ข้อเท็จจริง การผลิตแบบทุนนิยมก็คือ การผลิตสินค้าในฐานะที่เป็นรูปแบบทั่วไปของการผลิต และมันก็เป็นเพียงแค่นั้น
และกลายเป็นเช่นนั้นยิ่งขึ้นตลอดพัฒนาการของมัน ด้วยเหตุว่า ตัวแรงงานเองในที่นี้ก็ปรากฏในฐานที่เป็นสินค้าอย่างหนึ่ง
เพราะผู้ใช้แรงงานขายแรงงาน...ในราคาที่ถูกกำหนดโดยค่าใช้จ่ายในการทำการผลิตซ้ำ
ผู้ผลิตกลายเป็นนายทุนอุตสาหกรรมในระดับเดียวกันกับที่แรงงานกลายเป็นแรงงานจ้าง ดังนั้นการผลิตแบบทุนนิยม(และการผลิตสินค้าก็เช่นกัน)
จึงปรากฏเต็มรูปก็ต่อเมื่อผู้ทำการผลิตด้านกสิกรรมโดยตรงก็เป็นแรงงานจ้างไปด้วย
ในความสัมพันธ์ระหว่างนายทุนและผู้ใช้แรงงานที่ถูกว่าจ้าง
ในความสัมพันธ์ทางการเงินและในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ได้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ตกทอดมาจากตัวการทำการผลิตเอง
ความสัมพันธ์นี้โดยพื้นฐาน ซึ่งวางอยู่บนลักษณะทางสังคมของการทำการผลิต
ไม่ใช่วางอยู่บนวิถีทางการค้า ประการหลังมีที่มาจากประการแรกข้างต้น..."
[Marx 1885: p.196]
๓. กล่าวโดยสรุป
ลักษณะเฉพาะในการทำการผลิตที่ว่านี้ก็คือ การผลิตในลักษณะที่ทุนได้ผลิตสร้างผลผลิตออกมาในรูปของสินค้า
เงินตราเองก็เป็นเพียงรูปแบบอย่างหนึ่งของสินค้าเช่นกัน
พลังแรงงานของผู้ใช้แรงงานก็กลายเป็นสินค้าหนึ่งภายใต้กระบวนการนี้ สินค้าจึงเป็นรูปแบบสากลพื้นฐานของกระบวนการทำการผลิตแบบทุนนิยม
๔. การผลิตแบบทุนนิยมจะปรากฏเต็มรูปก็ต่อเมื่อ
ผู้ทำการผลิตด้านกสิกรรมเช่นชาวนาชาวไร่กลายเป็นแรงงานที่ถูกว่าจ้าง
หรือส่วนหนึ่งใดภายใต้กระบวนการผลิตสินค้าดังกล่าว (เราจึงเห็นได้ว่า
ความพยายามของเอ็นจีโอไทยหลายแห่งที่สนับสนุนรูปแบบชาวนาชาวไร่ทำการผลิตแบบพึ่งพิงตนเอง
ในท้ายที่สุด ก็ยังอยู่ใต้กลไกการผลิตแบบทุนนิยมอยู่ดี ไม่ใช่ในแง่สินค้าต้องพึ่งตลาดในการขาย
แต่ในแง่การผลิตที่ต้องคำนึงถึงความต้องการของตลาดในการส่งผลิตผลทางเกษตรกรรมตอบสนอง
ไม่ว่าผลิตผลเหล่านั้นจะเป็นพืชผักทั่วๆ ไป หรือผักปลอดสารพิษเพื่อ
นักอนุรักษ์ธรรมชาติได้บริโภค แนวทางในปัจจุบันของเอ็นจีโอไทยจึงยังเป็นเพียงการเสนอทางเลือกย่อยภายในระบบทุนนิยมเท่านั้น)
๕. ความเข้าใจที่ว่าวิถีการผลิตแบบทุนนิยมเป็นวิถีการทำการค้า
เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
แม้จะจริงที่ว่าแบบวิถีการทำการผลิตสินค้าอยู่บนแบบวิถีการทำการค้า
แต่การจะเป็นระบบทุนนิยมหรือไม่ ต้องดูที่ลักษณะทางสังคมของการทำการผลิต (ดังในข้อ ๓. ข้างต้น) ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์แบบนายทุนแรงงานเป็นต้น
ไม่ใช่แค่มีวิถีการทำการค้าแค่นั้นก็ทำให้ระบบเศรษฐกิจนั้นเป็นทุนนิยม (วัฒนธรรมนายทุนจึงมีที่มาส่วนหนึ่งจากวัฒนธรรมพ่อค้า
แต่วัฒนธรรมพ่อค้าไม่จำเป็นต้องเป็นวัฒนธรรมนายทุน)
การขยายตัวของทุนนิยมเป็นทุนนิยมโลก จึงเป็นการดึงส่วนที่แตกต่างในโลกที่ทำการผลิตให้เข้าสู่ระบบความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบดังกล่าว
ทุนนิยมในปลายศตวรรษที่ ๒๐
"การพัฒนาที่สำคัญที่สุดในยุคช่วงชีวิตของเราได้แก่
การกำเนิดขึ้นมาของระบบใหม่ในการสร้างสรรค์ทรัพย์สิน
ซึ่งไม่ได้มีฐานอยู่บนกล้ามเนื้ออีกต่อไปแต่อยู่บนจิตใจ..." [Toffler
1990: Pp.8-9]
ผู้อ่านคงได้ชมภาพจากโฆษณาของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ประโคมเทศกาลลดราคาสินค้าช่วงตรุษจีนโดยสร้างฉากจำลองการเดินสวนสนามของกองทัพแดงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ภาพแสดงความบึกบึนแข็งแกร่งนี้เป็นสิ่งที่เราได้ชมเป็นปกติสำหรับศิลปะแนวสัจสังคมนิยม
(Social Realism) ที่นิยมเขียนภาพผู้ใช้แรงงานชายหญิงพร้อมกล้ามมัดโตทำการผลิต. อัลวิน
ทอฟเฟลอร์ได้พยายามชี้ให้เห็นในหนังสือเล่มหลังสุดของเขาเรื่อง “อำนาจเปลี่ยนย้าย” ว่า
บัดนี้ธรรมชาติของทุนและการทำการผลิตได้เปลี่ยนไปแล้ว
ประเทศสังคมนิยมที่เน้นการผลิตอุตสาหกรรมหนักที่ต้องพึ่งพาแรงงานกายเป็นหลัก
ไม่อาจรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะการทำการผลิตแบบใหม่ อันเป็นผลจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน จึงไม่อาจแข่งขันกับประเทศทุนนิยมอีกซีกโลกได้
ทุนเปลี่ยนสภาพไปอย่างไร? ลักษณะการทำการผลิตแบบใหม่เป็นอย่างไร?
ตามทัศนะของทอฟเฟลอร์ โลกผ่านการปฏิวัติทางเทคโนโลยีมา 3 ครั้งสำคัญ
การปฏิวัติครั้งแรก ที่เรียกว่า “คลื่นลูกที่หนึ่ง” ได้แก่ การปฏิวัติทางเครื่องมือเพื่อทำการผลิตทางกสิกรรม สังคมกสิกรรมและระบบจารีตนิยมเป็นผลที่ตามมา
การปฏิวัติครั้งที่สอง ที่เรียกว่า “คลื่นลูกที่สอง”
ได้แก่การพัฒนาเทคโนโลยีทางการผลิตจากเครื่องจักรพลังไอน้ำ
ในระยะแรกก่อให้เกิดการผลิตอุตสาหกรรมเบาจำพวกโรงทอผ้าเป็นต้น ในเวลาต่อมาก่อให้เกิดการผลิตอุตสาหกรรมหนัก เช่น
โรงงานเหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ เป็นต้น.
สังคมอุตสาหกรรมหรือสังคมยุคใหม่
ซึ่งมีฐานอยู่บนการผลิตแบบอุตสาหกรรมเป็นผลที่ตามมา
การปฏิวัติครั้งที่สาม ที่เรียกว่า “คลื่นลูกที่สาม”
อันเป็นสิ่งที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งจะนำเราไปสู่สังคมหลังอุตสาหกรรมภายใต้อารยธรรมหลังยุคใหม่ เป็นผลจากการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสาร โลกภายใต้อารยธรรมที่ใช้คอมพิวเตอร์นี้เหมือนต่างอย่างไรจากสังคมยุคคลื่นลูกที่สอง?
สังคมอุตสาหกรรมแบบที่ต่ำความรู้
ทอฟเฟลอร์ใช้คำว่า
“สังคมอุตสาหกรรมแบบที่ต่ำความรู้” (lowbrow industrial society) อันหมายถึงสังคมอุตสาหกรรมยุคหนึ่ง
สังคมแบบนี้เรียกอีกอย่างว่า “สังคมปล่องไฟ”(smokestack
society- ขอให้นึกถึงภาพปล่องไฟพ่นควันจากโรงงานเรียงรายเป็นระยะทางยาว)
สังคมแบบนี้การทำการผลิตจะวางอยู่บนที่ดิน แรงงานและทุน
เน้นหนักการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบ
และแหล่งจ้างแรงงานราคาถูกเพื่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรม
ทรัพย์สินวัดกันที่รูปแบบการครอบครองสินค้า
การผลิตสินค้าจึงเป็นศูนย์กลางเดียวของระบบเศรษฐกิจ
มีการแยกส่วนการบริการและการผลิตออกจากกัน ในลักษณะให้ความสำคัญกับส่วนหลังโดยเห็นว่าส่วนแรกนั้นเป็นส่วนที่ไม่ทำการผลิต
บ่อยครั้งจึงใช้มาตรวัดการทำการผลิตในลักษณะที่เป็นรูทีน
สิ่งที่เรียกกันในปัจจุบันว่าการผลิตความรู้หรือการแลกเปลี่ยนข่าวสารไม่ใช่สิ่งสำคัญ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในโครงสร้างนี้ก็คือการผลิตผลิตผลทางวัตถุที่จับต้องได้
สังคมอุตสาหกรรมแบบที่สูงความรู้
“สังคมอุตสาหกรรมแบบที่สูงความรู้” (highbrow industrial
society) นั้น
ทอฟเฟลอร์หมายถึงสังคมที่เน้นกิจกรรมที่การจัดการเชิงเศรษฐกิจได้ใช้โมเดลใหม่ทางการผลิต
ในลักษณะเน้นการเชื่อมต่อกันและการประสานสอดคล้องกัน (connectivity &
integration) รวมทั้งการตอบรับกับปัญหาในทันทีทันใด (real-time simultaneity)
-
ส่วนในการผลิตแต่ละส่วนต้องมองอย่างไม่แยกขาดจากกัน ดังนั้นการผลิตไม่ได้ตั้งต้นหรือจบลงที่โรงงาน
เมื่อข่าวสารเป็นส่วนสำคัญของการผลิต
นักการตลาดที่รับรู้ข่าวสารก็จะแจ้งต่อให้วิศวกรรับรู้
แนวคิดที่ออกจากหัวของวิศวกรก็จะเป็นสิ่งที่ฝ่ายงบประมาณจะต้องพยายามทำความเข้าใจ
ขณะที่ความสามารถที่จะเพิ่มทุนจะวางอยู่บนการทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจ
ซึ่งไปวางอีกทีบนความสามารถในการจัดการตารางเวลาผลิตขนส่งสินค้า
ของบริษัท ซึ่งวางอีกทีอยู่บนส่วนแรงจูงใจทำงานของลูกจ้าง
ซึ่งวางอีกทีอยู่บนเงินเดือนบวกกับความรู้สึกของการบรรลุความสำเร็จ
ซึ่งวางอยู่บนส่วนอื่นๆ อีกเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ... มูลค่าจึงมาจากความพยายามทั้งหมด
ที่แต่ละส่วนเพิ่มลงไปในการผลิต
ไม่ใช่มาจากขั้นตอนหนึ่งใดเดียวในกระบวนการทำการผลิต
-
ลักษณะการสั่งการทำการผลิตจึงไม่ได้เป็นแบบบนลงล่าง จากส่วนการบริหารลงไปยังส่วนทำการผลิต แต่เป็นการสั่งการทั้งบนลงล่างและล่างขึ้นบน
หรือในระนาบเดียวกัน
-
ส่วนบริการจึงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งด้วยในกระบวนการทำการผลิต ลักษณะที่เรียกว่าการดูแลตามหลังการขายหรือซื้อสินค้า
จึงเป็นส่วนพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับบริษัท
ในระยะยาวการคำนึงถึงความเสี่ยงภัยของลูกค้าในเรื่องสินค้าสร้างผลเสียต่อระบบนิเวศน์ก็จะได้รับการคำนึงถึง
และเป็นส่วนหนึ่งในแผนการผลิตด้วย
-
กล้ามเนื้อหรือกำลังกายในการทำการผลิตจึงไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุดสำหรับทำการผลิตอีกต่อไป
แรงงานสมองหรือความสามารถในการใช้และคิดค้นเทคโนโลยีระดับสูงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดแทน
สิ่งนี้เองที่ถือได้ว่าเป็นทุนสำคัญในการผลิตแบบใหม่
ดังนั้นจากทุนที่เป็นของจับต้องได้จึงกลายเป็นทุนที่จับต้องไม่ได้
สังคมอภิสัญลักษณ์ (super-simbolic society)
ความรู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในสังคมการผลิตแบบนี้ ทอฟเฟลอร์เรียกสังคมหลังยุคใหม่นี้ว่า สังคมอภิสัญลักษณ์
(super-simbolic society) จากลักษณะที่เป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับข่าวสาร อันเป็นการผลิตเชิงสัญลักษณ์ คำว่าความรู้นั้นมีความหมายกว้างกว่าการรู้ข้อเท็จจริง
อันเป็นส่วนหนึ่งของข่าวสาร ข่าวสารก็คือข้อมูลที่ถูกแยกแยะจัดระเบียบ
โดยทั่วไปความรู้ก็คือข่าวสารที่ถูกประมวลแล้วให้เป็นข้อความสากล สำหรับทอฟเฟลอร์ เขาใช้คลุมถึงข้อมูล ข่าวสาร
จินตภาพ จินตนาการรวมทั้งท่าที คุณค่า และการผลิตเชิงสัญลักษณ์อื่นๆ ของสังคม ไม่ว่าจะ"จริง", "พอประมาณ", หรือ "เท็จ". กล่าวอีกนัยหนึ่ง
ความรู้ในที่นี้จึงรวมถึงตัวสื่อที่ใช้ในการสื่อสารซึ่งทำให้ตัวสารส่งผ่านได้
ดังได้กล่าวมา
ส่วนทั้งหลายในการทำการผลิตรวมทั้งส่วนผู้ใช้บริการ ต่างมีความหมายและเป็นตัวสร้างมูลค่าแก่การผลิต
บทบาทของความสุขในการทำงานจึงเป็นส่วนสำคัญในการทำการผลิต.
ในยุคสังคมปล่องไฟคนงานผู้ใช้แรงกายถูกบังคับโดยสภาพการณ์ให้ทำการผลิต, ในยุคอภิสัญลักษณ์ คนงานที่มีความสุขผลิตได้มากขึ้น
ตรงนี้แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแง่ความสัมพันธ์ทางการผลิตภายใต้โครงสร้างใหม่
ทุนนิยมที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์
สังคมหลังยุคใหม่ในแง่นี้ จึงเป็นระบบเศรษฐกิจแบบที่ทุนมีไว้เพื่อทำการผลิตสนองตอบรับได้กับความต้องการของผู้บริโภค
ทอฟเฟลอร์เรียกว่า “สังคมที่มีระบบเศรษฐกิจบริการ” ถ้าเราใช้คำของสันตะปาปาที่เรียกร้องให้โลกสร้าง
“ทุนนิยมที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์”
ขึ้น
ในโลกที่ระบบอุดมคติแบบอื่นล่มสลายไป
เราอาจกล่าวได้ว่า ตามความคิดของทอฟเฟลอร์แล้วเป็นทุนนิยมที่แปลกแยก มนุษย์ที่มาร์กซ์พยายามศึกษาวงจรชีวิตในศตวรรษที่
๑๙ ได้เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นทุนนิยมที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์แล้วในปลายศตวรรษที่
๒๐
ทอฟเฟลอร์เชื่อว่ากระบวนการนี้จักดำเนินต่อไปจนถึงที่สุด
บัดนี้ธรรมชาติของทุนเริ่มเปลี่ยนไป
รวมทั้งลักษณะของการทำการผลิตเอง
ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้ได้แสดงตนให้เราเห็นเป็นระยะ
และจะมามากขึ้น รวดเร็วขึ้น ณ บัดนี้
++++++++++++++++++
อ้างอิง
Bobbio
1989. Norberto Bobbio. "THE UPTURNED
UTOPIA," in Robin
lackburn[Ed.]. AFTER THE FALL.[London:Verso,1991]
Gorbachev
1988. Mikhail Gorbachev.THE
IDEOLOGY OF RENEWAL
FOR REVOLUTIONARY RESTRUCTURING. [Moscow:Novosti,1988]
Gorbachev
1990. Mikhail Gorbachev.
"I am an optimist : GORBACHEV
INTERVIEW," TIME June 4,1990.
Habermas
1990. Jurgen Habermas."WHAT DOES SOCIALISM MEAN TODAY? THE REVOLUTIONS OF
RECUPERATION AND THE NEED FOR NEW THINKING" in Blackburn[Ed.]
Lenin
1917. Vladimir Ilyich
Lenin."LETTER TO CENTRAL COMMITTEE
MEMBERS," in
EXPERIENCE OF THE CPSU :
ITS WORLD SIGNIFICANCE. [Moscow:Progress Publishers,1975]
Lenin
1918. Vladimir Ilyich Lenin."DECLARATION OF RIGHTS OF
THE WORKING AND EXPLOITED PEOPLE,"
in EXPERIENCE OF THE CPSU.
Lenin
1920. Vladimir Ilyich Lenin. "LEFTWING COMMUNISM-AN INFANTILE DISORDER," in EXPERIENCE OF THE CPSU.
LE
PETIT LAROUSSE DICTIONNAIRE ENCYCLOPEDIQUE. [Paris:Larousse,1993]
Lyotard
1988. Jean-Francois Lyotard. THE POSTMODERN EXPLAINED [Minneapolis,London:University
of Minnesota Press,1993] (ฉบับภาษาฝรั่งเศสพิมพ์ปี ๑๙๘๘)
Marx
1867. Karl Marx, CAPITAL VOLUME 1.
[New York:Vintage,1976]
Marx
1885. Karl Marx, CAPITAL VOLUME 2.
[New York:Vintage,1981]
Toffler
1990. Alvin toffler. POWERSHIFT.[NewYork:
Bantam,1991]
·
No comments:
Post a Comment