หมายเหตุ บทความนี้ลงพิมพ์ครั้งแรกในสยามรัฐรายวัน
15 มิถุนายน 2538
สำหรับบ้านเราในปี
พ.ศ. ปัจจุบัน เดมะก๊อกนั้นรวมถึงแกนนำม็อบต่าง ๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางสังคม
รวมถึงผู้นำกองทัพ องคมนตรีพวกที่ออกมาแทรกแซงทางการเมือง คนในองค์กรอิสระต่าง ๆ
และนักวิชาการที่ออกมาปกป้องระบอบอภิสิทธิชนด้วย
อาริสโตเติลกับหน้าที่พลเมืองดี
บุญส่ง
ชัยสิงห์กานานนท์
อาริสโตเติลเขียนไว้ในหนังสือชื่อการเมือง
[POLITICS]
ท่อนหนึ่งมีความว่า
"มักกล่าวกันว่า'เขาคนที่ไม่เคยเรียนรู้ในการเชื่อฟัง
จักไม่อาจเป็นผู้บังคับการที่ดีได้' (คุณสมบัติ) สองประการนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ทว่าพลเมืองที่ดีสมควรมีครบ
เขาควรที่จะรู้ว่าจะปกครองเยี่ยงไรในแบบเสรีชน และจะเชื่อฟังเยี่ยงไรดังเช่นเสรีชน-นี่คือคุณธรรมของการเป็นพลเมือง"
แน่นอนว่าคนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ ด้วยเหตุว่าธรรมชาติให้มาไม่เท่ากันตั้งแต่ต้น
นับแต่ฐานะ รูปร่างหน้าตา สติปัญญา ไปจนถึงสภาพแวดล้อมที่ดีและไม่ดี
แต่ในแง่ของการเป็นพลเมืองนั้นการอุทิศตนให้ชุมชนถือเป็นกิจร่วมของทุกคน
รัฐมีความสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อแต่ละคนเป็นพลเมืองที่ดีได้ การเป็นพลเมืองดีนี้เป็นคนละเรื่องกับการเป็นคนดีซึ่งถือคุณธรรมเฉพาะ อันมีที่มาจากฐานความเชื่ออันแตกต่างกันไปตามแต่ภูมิหลังทางวัฒนธรรมของครอบครัวตนเราอาจเกิดคำถามว่า ในรัฐแบบเผด็จการ หรือคณาธิปไตย พลเมืองดีอุทิศตนให้กับชุมชนได้อย่างไร
ในเมื่อผลประโยชน์ของสังคมถูกแทนที่โดยผลประโยชน์ส่วนตนของผู้เผด็จการแล้ว
ตรงนี้เราตอบด้วยคำของอาริสโตเติลเองได้ว่า
"การปกครองที่ใส่ใจต่อผลประโยชน์ส่วนรวมนั้นได้รับการก่อตั้งขึ้นโดยสอดคล้องกันกับหลักการอันเคร่งครัดในเรื่องความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นรูปแบบการปกครองแบบแท้ๆ
ส่วนการปกครองที่เอาใจใส่แต่เพียงผลประโยชน์ผู้ปกครองล้วนเป็นรูปแบบการปกครองที่พิกลพิการและวิปริต
ด้วยเหตุว่าเป็นเผด็จการอย่างอำเภอใจ
ขณะที่รัฐนั้นคือประชุมชนของเสรีชน"
ในทัศนะของอาริสโตเติลดังกล่าว ในรัฐที่มีรัฐธรรมนูญ
ซึ่งมีกฎแม่บทให้ยึดโดยมีเนื้อหาหลักเพื่อประโยชน์สุขทั้งสังคม ในรัฐที่เป็นที่ประชุมชนของเสรีชนนี้
รัฐซึ่งวางอยู่บนหลักการของความยุติธรรมอย่างเคร่งครัด
ไม่ใช่ในรัฐเลวๆที่วางอยู่บนผลประโยชน์เฉพาะพวก การเป็นพลเมืองดีจึงไม่เพียงแค่ต้องรู้จักเคารพกฎแม่บทของรัฐ
แต่ยังต้องรู้ด้วยว่าตนเองจะปกครองอย่างไร
ในอดีตการกำหนดว่าคนประเภทไหนมีสิทธิเป็นพลเมืองจะแตกต่างกันไปตามแต่ละรัฐ ในสมัยโบราณทาสไม่ใช่พลเมืองแต่เป็นเพียงทรัพย์สินที่มีชีวิต
รัฐหลายแห่งให้สิทธิเฉพาะผู้ชาย หรือผู้ที่มีทรัพย์สินในระดับที่กำหนดไว้เท่านั้นจึงได้สถานะเป็นพลเมือง
ในโลกปัจจุบันสิทธิของการเป็นพลเมืองได้นี้ขยายวงครอบคลุมถึงผู้ใดก็ตามที่เกิดหรือไม่ได้เกิดในดินแดนนั้นก็ตามแต่ได้สัญชาติมาถือเป็นใช้ได้ แม้ว่าในทางปฏิบัติจะมีการกลั่นแกล้งหรือปิดโอกาสการใช้สิทธิพลเมืองด้วยหรือไม่ก็ตาม
การเป็นพลเมืองนั้นก็คือการได้ส่วนแบ่งทางอำนาจทางการเมืองอย่างเป็นทางการในการกำหนดชีวิตของชุมชน ผ่านการเข้าร่วมออกเสียงในสภาโดยตรง
(ในรัฐขนาดเล็ก) หรือการเลือกตัวแทนเข้าสภา
การเข้าร่วมตัดสินคดี (ในประเทศที่มีระบบลูกขุนในศาล)
รวมถึงโอกาสในการได้เป็นผู้บริหารชุมชนด้วย
ในระบอบประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งให้เป็นตัวแทนของชุมชนย่อยชุมชนต่างๆเพื่อเข้าไปทำหน้าที่ตรากฎหมายหรือบริหารประเทศดังกรณีของประเทศไทยนั้น
เพื่อทำหน้าที่ให้ครบถ้วนจะได้เป็นพลเมืองดี เราต้องทำอะไรบ้างนอกไปจากการเชื่อฟังกฎเกณฑ์ที่ถูกต้องและชอบธรรม?
จงระวังเดมะก็อก!
อาริสโตเติลได้กล่าวถึงรูปแบบประชาธิปไตยที่เลวหรือเรียกให้ถูกก็คือรูปแบบที่
ลวงตาเราว่าเป็นประชาธิปไตย กรณีเช่นนี้ได้แก่การบริหารรัฐไปภายใต้กฎเกณฑ์จากพวกเดมะก็อกหรือพวกลวงเมือง
[demagogue] เมื่อใดก็ตามที่มีใครสักคนหรือกลุ่มคนบางกลุ่มอาศัยเสียงสนับสนุนจากฝูงชนใช้อ้างออกข้อกำหนดนานาเพื่อกลุ่มพวกตัว
คนเหล่านี้ได้แทนที่กฎหมาย (ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สุขสังคม) ด้วยกฎแห่งพวกตน ทำตนเป็นสิ่งสูงสุดในสังคมและใช้อำนาจไปเพื่อพวกพ้องอย่างตามอำเภอใจ การปกครองแบบนั้นก็คือประชาธิปไตยลวงตา เป็นการบิดเบือนเนื้อหาของประชาธิปไตยไป
อริสโตเติลกล่าวว่าภายใต้การปกครองแบบนี้โดยเนื้อหาไม่ต่างไปจากการปกครองของทรราชย์ "สปิริตของทั้งสองพวกเหมือนกัน พวกเขาต่างดำเนินการใช้กฎแบบเผด็จการตามอำเภอใจเอากับพลเมืองส่วนที่มีคุณภาพกว่าพวกเขา"
พวกลวงเมืองเหล่านี้ออกข้อกำหนดโดยอ้างเอานามประชาชนเพื่อลบล้างกฎหมายที่ถูกต้องยุติธรรม "และดังนั้นพวกเขาจึงมีอำนาจขึ้น ด้วยเหตุว่าประชาชนล้วนอยู่ในกำมือของพวกเขา
พวกเขากำเสียงโหวตที่ประชาชนผู้ซึ่งพร้อมจะเชื่อฟังพวกเขาได้โหวตออกมาไว้ในกำมือ"
คนเหล่านี้ซึ่งเก่งในทางใช้วาทศิลป์จูงใจหรือตบตาฝูงชนก็ได้ครองเมืองในท้ายที่สุด ขณะที่ดูเหมือนประโยชน์สุขแห่งสังคมจะได้รับการพิทักษ์ เอาเข้าจริงก็คือประโยชน์สุขเฉพาะพวกของคนเหล่านี้เท่านั้น แต่อ้างเอาจนดูเหมือนประชาชนได้ประโยชน์ยิ่งนัก การเชื่อฟังกฎเกณฑ์ของคนเหล่านี้จึงเป็นการเชื่อฟังสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไปหลงทางตามที่ถูกลวงไว้ ด้วยเหตุที่ในฐานะพลเมืองดีเราต้องรู้ว่าจะปกครองอย่างไร
หน้าที่หนึ่งของเราในที่นี้ก็คือ การทำให้การปกครองของเราในระบบประชาธิปไตยไม่ถูกใช้อ้างเบี่ยงเบนไปเป็นประโยชน์สุขแห่งพวกตนของพวกลวงเมืองเหล่านั้น
ทั้งนี้เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นในแง่หนึ่งหมายถึงการที่ประชาชนรู้จักปกป้องผลประโยชน์ของตนที่รวมกันเป็นผลประโยชน์ของสังคม
หน้าที่ของประชาชนหรือพลเมืองที่ดีจึงรวมถึงการไม่นิ่งเฉยปล่อยให้ฝ่ายบริหารประเทศหรือฝ่ายนิติบัญญัติทำอะไรก็ได้ เรามีหน้าที่ต้องแสดงความคิดเห็นของเราให้รัฐได้รับรู้
มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
และมีหน้าที่พยายามหยุดยั้งไม่ให้คนเหล่านั้นใช้อำนาจรัฐในทางที่ผิดต่อไปได้
รัฐของเราจะเป็นรัฐที่สมบูรณ์หรือไม่ในแง่หนึ่งจึงถูกกำหนดโดยตัวเรานี้เอง!
No comments:
Post a Comment