Saturday, April 28, 2018

คำเตือนจากโซรอส


หมายเหตุ บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับอังคารที่ 7 พฤษภาคม 2545 โดยมีการตัดทอนบางส่วน ฉบับที่เผยแพร่ในครั้งนี้เป็นฉบับตามต้นฉบับที่สมบูรณ์
                                                                
                                                                    คำเตือนจากโซรอส

                                                             บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์

                                                         คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร



         สำหรับคนไทยแล้วชื่อเสียงของจอร์จ โซรอส (George Soros) คงไม่ดีนัก  ในฐานะนักเก็งกำไรค้าหุ้นผู้ก่อให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในบ้านเราในหลายปีที่ผ่านมานี้  มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เกลียดชังโซรอสยิ่งนัก   อย่างไรก็ตาม ถ้าเรายอมรับว่าโซรอสเป็นผู้ที่เข้าใจกลไกของระบบทุนนิยมเป็นอย่างดี  จนกระทั่งสร้างความมั่งคั่งส่วนตัวได้สำเร็จโดยอาศัยความเข้าใจดังกล่าว  ความคิดเห็นของโซรอสที่มีต่อตัวระบบทุนนิยมเองก็ยิ่งน่าสนใจยิ่งนัก  โซรอสคิดว่าการใช้ชีวิตภายใต้ระบบทุนนิยมเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เราหรือไม่  สังคมที่ดีควรเป็นเช่นไร    คำถามเหล่านี้น่าสนใจยิ่งนัก   และเราก็หาคำตอบจากเขาโดยตรงได้จากข้อเขียนของเขาเอง     

         ในหนังสือที่โซรอสเขียนชื่อ Open Society: Reforming Global Capitalism ซึ่งออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 2000 นั้น  โซรอสตอบไว้อย่างชัดเจนว่า ระบบทุนนิยมที่ขยายตัวครอบโลกในทุกวันนี้ ที่เราเรียกว่าทุนนิยมโลกาภิวัตน์นั้น  อาจไม่ช่วยให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้นเลย  หากเรายอมรับว่าโลกที่น่าอยู่นั้น เราต้องมีเสรีภาพ มีวิถีชีวิตอยู่บนวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตย  และได้รับความคุ้มครองโดยหลักของกฎหมาย 

         โซรอสเห็นว่า ทุนนิยมกับประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องเดินไปด้วยกัน แม้ว่าทั้งสองสิ่งนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง  เมื่อมีชนชั้นกลางมากขึ้นและมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ก็สูงขึ้น ก็ย่อมมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดแรงกดดันมุ่งสู่ความต้องการเสรีภาพและประชาธิปไตย   รวมทั้งความต้องการเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคงขึ้น  แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าประชาธิปไตยจะตามมาโดยอัตโนมัติตามหลัง
ทุนนิยม(ซึ่งขยายจำนวนของชนชั้นกลางและยกระดับมาตรฐานชีวิตทางวัตถุสูงขึ้น)  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

         โซรอสตอบว่า แม้ว่าทุนนิยมจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการสร้างความมั่งคั่งขึ้นในโลก สร้างสินทรัพย์ต่างๆ ให้เพิ่มพูนขึ้น  เราก็ต้องไม่ลืมว่า ธุรกิจนั้นถูกผลักดันด้วยความต้องการกำไร  ธุรกิจไม่ใช่สิ่งที่ถูกร่างสร้างขึ้นมาเพื่อมุ่งสูการทำให้หลักการสากลที่มีไว้เพื่อมนุษย์เกิดเป็นจริงขึ้น  การทำธุรกิจนั้นมุ่งไปที่การได้ผลประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นหลัก ไม่ใช่มุ่งไปสู่ประโยชน์สาธารณะ  ความรับผิดชอบแรกสุดในการจัดการทางธุรกิจนั้นก็โดยการคำนึงถึงผลประโยชน์ของเจ้าของกิจการนั้นๆ ไม่ใช่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมาก่อน ไม่ว่านักธุรกิจส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เที่ยงธรรมหรือไม่ก็ตาม  หรือธุรกิจมักชอบเสแสร้งว่าคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะก่อนอื่นใดก็ตาม  การเสแสร้งแบบหลังนี้ทำไปก็เพราะมองว่าเป็นวิธีการทางธุรกิจที่ดีที่จะช่วยนำกำไรกลับมาสู่เจ้าของธุรกิจในท้ายที่สุด  เราจึงไม่อาจพึ่งพาพลังของตลาดในการสร้างประชาธิปไตย เสรีภาพและหลักของกฎหมาย ให้เกิดเป็นความจริงขึ้นมา  เราจำเป็นต้องสร้างสถาบันทางสังคมบางแบบขึ้นเพื่อปกป้องหลักการสากลเหล่านั้น

         อดัม สมิธเคยเสนอไว้อย่างมั่นใจเมื่อศตวรรษที่ 18 ว่า สังคมของมนุษย์นั้นโดยพื้นฐานเป็นสังคมพาณิชย์  เราเอาของที่เราผลิตขึ้นหรือหามาได้แล้วเหลือเกินจากส่วนที่เราต้องใช้บริโภค นำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งของอื่นๆที่เราต้องการแต่เราไม่มี  ตลาดก็คือที่แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างมนุษย์ที่มีความต้องการสินค้าบางอย่างโดยนำสินค้าอีกอย่างไปแลกเปลี่ยนด้วย  ราคาสิ่งของขึ้นลงตามแต่ว่ามีผู้เสนอของนั้นๆมามากหรือน้อยกว่าความต้องการที่จะได้สิ่งของดังกล่าว  กฎของอุปสงค์อุปทานนี้เดินไปเองโดยอัตโนมัติและแต่ละคนก็จะพบจุดลงตัวในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน  เราเรียกทัศนะเช่นนี้ว่า แนวเน้นตลาดเสรี (laissez-faire)  แต่โซรอสเรียกว่า พวกยึดมั่นถือมั่นในกลไกตลาด (market fundamentalism) ซึ่งคิดว่า กลไกตลาดจะดูแลความต้องการของเราทุกคนได้  หากเราแต่ละคนสามารถแสวงหาผลประโยชน์ของเราเองได้ โดยรัฐไม่แทรกแซงก้าวก่ายเข้ามา  ประโยชน์สาธารณะก็จะเกิดขึ้นเป็นผลตามมา 

         โซรอสแย้งว่า ตลาดนั้นเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุดในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนบุคคล แต่ตลาดไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดูแลผลประโยชน์ส่วนรวม  แม้ว่าการปกป้องรักษากลไกตลาดไว้จะเป็นการรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมแบบหนึ่งก็ตาม  เราต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้คนที่แข่งขันกันในตลาดไม่ได้ต้องการปกป้องการแข่งขันกันนี้ แต่ต้องการได้ชัยชนะต่างหาก  ดังนั้น หากทำได้ พวกเขาก็จะเลือกเอาการผูกขาด เลือกเอาการกำจัดการแข่งขันในตลาด  การได้เปรียบคู่แข่งเพื่อชัยชนะจึงเป็นจุดมุ่งหมายหลัก  การกำจัดคู่แข่งที่เป็นจุดอ่อนหรือจุดแข็งก็ตามก็คือเป้าหมายทางธุรกิจ ที่ดำเนินไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นหลักนั่นเอง

         การปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมนั้นเคยยึดถือกันมาว่าเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของรัฐชาติ  แต่ในปัจจุบันเราฝากความหวังไว้ที่รัฐชาติไม่ได้แล้ว  ทำไมเป็นเช่นนี้? 

         โซรอสเห็นว่า  เมื่อเราพูดถึงระบบเศรษฐกิจระดับโลกาภิวัตน์นั้น เรากำลังพูดถึงการค้าเสรีในด้านสินค้าและการบริการ  ซึ่งที่จริงก็คือการเคลื่อนไหวอย่างเสรีของทุน ถ้าจะเรียกให้ถูกก็ต้องเรียกว่าระบบทุนนิยมระดับโลกาภิวัตน์  ทุนเป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้ง่ายยิ่งกว่าองค์ประกอบอื่นทางการผลิต  และทุนทางการเงินการคลังยิ่งเคลื่อนที่ได้ง่ายกว่าทุนในรูปแบบอื่นๆ   ในปัจจุบันนี้ อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ราคาสินค้าในสต็อก ในประเทศต่างๆ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง  ตลาดทางการเงินการคลังระดับโลกาภิวัตน์นี้ส่งอิทธิพลต่อสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในทุกรัฐทั่วโลก  จากการที่ทุนเคลื่อนที่ได้ง่ายไป ณ ที่ใดในโลกนี้ก็ได้  การที่รัฐแต่ละรัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีและจัดระเบียบทุนก็ยิ่งยากขึ้น ซึ่งหมายถึงความสามารถของรัฐในการควบคุมภาคธุรกิจลดลงนั่นเอง  ความพยายามเข้าไปควบคุมทุนและจัดเก็บภาษีอาจกลายเป็นการขับไล่ทุนออกไปจากรัฐนั้นๆ แทน  ในเมื่อทุนเป็นตัวสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งหรือสินทรัพย์ในสังคม  การทำให้ทุนไหลออกหนีหายไปจากประเทศก็เป็นเรื่องที่สร้างความสูญเสียมากยิ่งกว่า  ดังกรณีของประเทศทุนนิยมหลักเองเช่นเยอรมนีในช่วงที่ออสการ์ ลาฟองแตน ( Oscar Lafontaine ) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  เมื่อเขาพยายามเพิ่มภาษีจัดเก็บจากภาคธุรกิจ กลับก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนไหลออกจนกระทบเศรษฐกิจของเยอรมนีในขณะนั้น

         นั่นคือ รัฐชาติเองถูกลดอำนาจที่จะเข้าไปควบคุมแทรกแซงภาคธุรกิจภายในเขตอำนาจของรัฐตนเอง  และยิ่งพยายามเข้าไปแทรกแซงก็ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทางเศรษฐกิจภายในเอง จนกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองและสังคมเป็นผลตามมา

         โซรอสยังเห็นว่า ตัวรัฐเองก็มักใช้อำนาจไปในทางที่ผิด แทนที่จะปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม เอาเข้าจริงรัฐก็คือกลุ่มครองอำนาจรัฐที่มุ่งใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มพวกตัวเองเป็นหลักมากกว่า  และเมื่อรัฐจับมือฮั้วกันกับกลุ่มธุรกิจก็ยิ่งสร้างภัยมากขึ้น  อำนาจของรัฐที่ลดลงจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า 

         จากเหตุผลอย่างน้อยสองข้อที่กล่าวมาชี้ว่า รัฐชาติปัจจุบันไร้ศักยภาพหรือน้ำยาที่จะทำหน้าที่ที่พลเมืองของรัฐนั้นคาดหวังไว้ได้  ขณะที่เราก็ฝากความหวังไว้กับตลาดว่าจะช่วยดูแลผลประโยชน์ส่วนรวมที่เป็นความต้องการแบบรวมหมู่ของมนุษย์เราอาทิ สันติภาพและความมั่นคง กฎหมายและระเบียบ สิทธิมนุษยชน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการสร้างความยุติธรรมทางสังคม  ตลาดก็ทำไม่ได้เช่นกัน เพราะตลาดเป็นที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนบุคคลไม่ใช่มีไว้เพื่อสร้างประโยชน์ส่วนรวม

         โซรอสคิดว่า กลไกตลาดเองยังมีข้อจำกัดและไม่สมบูรณ์อย่างที่พวกยึดมั่นในกลไกตลาดคิด  นอกจากที่โมเดลเรื่องดุลยสภาพที่เกิดใต้สภาพการแข่งขันเสรีโดยสมบูรณ์จะเป็นโมเดลที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงในโลกที่เป็นจริงแล้ว ยังไม่อาจคาดหวังว่าจะบรรลุเป็นจริงได้อีกด้วย  การรู้ข้อมูลองค์ประกอบเฉพาะในปัจจุบันไม่ช่วยเราให้กำหนดชัดอนาคตได้เพราะข้อมูลองค์ประกอบเฉพาะในอนาคตเป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้  เมื่อไม่อาจเข้าใจตัวองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องได้อย่างสมบูรณ์ ผลตามมาโดยตัวมันเองก็คือการไม่อาจกำหนดอย่างแน่ชัดได้ และนี่คือจุดอ่อนของตลาดการเงินการคลังเอง   เสถียรภาพของตลาดกลับต้องได้รับการปกป้องด้วยนโยบายทางสังคมจากรัฐ  ซึ่งก็ไม่สมบูรณ์เช่นกัน แม้จะมีการเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกจากการเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในยุคเศรษฐกิจตกต่ำหลายครั้ง จนในประเทศที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมระดับสูงได้พัฒนาระบบธนาคารกลางและกลไกที่เกี่ยวข้องขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาก็ตาม 

         การหวังพึ่งองค์กรทางการเงินการคลังระหว่างประเทศเช่นธนาคารโลก และ IMF เป็นต้น ก็คงหวังไม่ได้ องค์กรเหล่านี้ถูกร่างแบบขึ้นมาในยุคที่การเคลื่อนไหวอย่างเสรีของทุนยังไม่เกิดขึ้น ยิ่งเห็นได้ชัดจากความล้มเหลวในการจัดการแก้ปัญหาในช่วงวิกฤตทางเศรษฐกิจช่วงปี 1997 -1999 ที่ผ่านมา  ซึ่งในท้ายที่สุดเราต้องยอมรับว่า เราต้องปล่อยให้อิทธิพลและอำนาจขององค์กรเหล่านี้ตกต่ำลงไป  จะหันไปหวังพึ่งองค์กรทางการเมืองและสังคมระหว่างประเทศเช่นสหประชาชาติก็หวังพึ่งได้ยาก  การทำหน้าที่ไม่บรรลุในการสร้างสันติภาพและความสงบในโลกในช่วงที่ผ่านๆมา  ในช่วงสงครามเย็นความกลัวภัยนิวเคลียร์ระหว่างมหาอำนาจสองขั้ว (โซเวียตและอเมริกา) ต่างหากกลับเป็นตัวสร้างความตกลงอยู่ร่วมที่ได้ผลกว่าที่สหประชาชาติพยายามทำ ล่าสุดสหประชาชาติเองก็เสียโอกาสในการทำหน้าที่ตามที่ถูกคาดหวังไว้อย่างเห็นได้ชัดในกรณีของสงครามเชื้อชาติที่บอสเนีย

         ในเมื่อฝากความหวังไว้กับตลาด รัฐชาติ  ธนาคารโลก และสหประชาชาติไม่ได้  การรักษาผลประโยชน์ร่วมรวมหมู่ของมนุษย์จึงต้องอาศัยภาคประชาชนเท่านั้น ที่จะสร้างกลไกเพื่อควบคุมตลาดอีกทีหนึ่ง  นี่คือคำเตือนจากโซรอส ที่แม้คนไทยจะเกลียดชัง แต่ก็น่าใส่ใจและนำมาคิดต่อ  

(สิ่งที่น่าแปลกใจ ก็คือข้อวิพากษ์ของโซรอสในเรื่องนี้กลับสอดคล้องในหลายประเด็นกับการวิเคราะห์จากมาร์กซิสต์ชื่อดัง ซามีร์ อามิน (Samir Amin) ซึ่งเราจะได้ดูรายละเอียดในคราวต่อไป)
 


No comments: