Saturday, April 28, 2018

จอห์น ล็อก กับประชาสังคมไทย


หมายเหตุ บทความนี้ลงตีพิมพ์ครั้งแรกในสยามรัฐรายวัน 5 มิถุนายน 2538

จอห์น ล็อก กับประชาสังคมไทย
บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์

                   
         ในภาพยนตร์เรื่องเมาคลีซึ่งได้ฉายไปแล้วเมื่อไม่นานนี้ มีอยู่ฉากหนึ่งที่เมาคลีตัวพระเอกในเรื่องนี้กล่าวในทำนองว่า "สำหรับกฎของป่าแล้วการฆ่ากระทำได้เพื่อเอาเป็นอาหารหรือเพื่อป้องกันตนเองไม่ให้เป็นอาหาร" ก็เช่นที่เราได้รับรู้กันโดยทั่วไปมนุษย์ที่ต้องอยู่ในสภาวะตามธรรมชาติเช่นนั้นการดิ้นรนต่อสู้เพื่อป้องกันชีวิตและความอยู่สุขของตนเองโดยใช้วิธีการต่างๆ เท่าที่อำนวยให้นับเป็นความชอบธรรม เพราะเป้าหมายในที่นั้นก็คือการอยู่รอดปลอดภัย

         ในประชาสังคม (อันเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า civil society ) ซึ่งมนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน และมีการกำหนดให้มีกลุ่มคนบางกลุ่มรับผิดชอบในการดูแลชีวิตและความอยู่สุขของคนทั้งชุมชน โดยมีข้อกำหนดเป็นนัยโดยการปฏิบัติหรือตราไว้เป็นลายลักษณ์อักษรถือใช้ร่วมกันในชุมชนในสังคมเช่นนี้ กฎของป่าย่อมถูกระงับไป และกฎเกณฑ์ทางสังคมหรือกฎหมายได้เข้ามาแทนที่ ดังที่ได้ทราบกันดีอยู่แล้วว่า กฎหมายนั้นกำหนดการประพฤติของคนในระดับของการมีพันธะต้องกระทำโดยมีกลไกปลุกเร้าให้กระทำหรือไม่กระทำด้วยรูปแบบของการลงโทษกำกับ

         อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่า เราต้องเชื่อฟังกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ทางสังคมอย่างบริบูรณ์และไม่มีเงื่อนไขการเป็นข้อกำหนดเพื่อบังคับใช้ไม่ได้หมายความว่าข้อกำหนดเช่นนั้นมีความชอบธรรม กฎหมายที่ออกเพื่อเอื้อประโยชน์เฉพาะพวกก็มี ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นกฎหมายที่เลวเมื่อมองจากแง่ของการคำนึงถึงประโยชน์ของทั้งสังคม สำหรับประชาสังคมแล้ว กฎหมายเช่นนั้นไม่ใช่ข้อกำหนดที่ถูกต้อง และหากให้ผลเสียต่อประโยชน์สังคมโดยรวมแล้ว การเชื่อฟังกฎเกณฑ์เหล่านั้นก็คือการละเมิดหลักการพื้นฐานของประชาสังคมเอง และหากไม่มีการทำให้กฎเกณฑ์เช่นนั้นสิ้นสุดไป ก็กล่าวได้ว่าภาวะของการเป็นประชาสังคมถึงจุดยุติ ในช่วงเวลาเช่นนั้นเองที่กฎของป่าได้กลับมามีความชอบธรรมอีกครั้งหนึ่ง(ตรงนี้ใช้อธิบายได้ถึงความชอบธรรมในการตอบโต้กลับของฝ่ายประชาชนในเหตุการณ์เช่นกรณีพฤษภาทมิฬ)         อะไรคือสิ่งที่ประชาสังคมปกป้อง อันข้อกำหนดต่างๆ ที่มีไว้ก็เพื่อสิ่งนี้  สำหรับเสรีนิยมประชาธิปไตยแล้ว ประชาสังคมหรือสังคมการเมืองนั้นมีไว้เพื่อปกป้อง"ชีวิต เสรีภาพ และความอยู่สุขของมนุษย์" ความปลอดภัยและความมั่นคงในสังคมหมายถึงสภาพที่มีการให้ประกันการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้เท่านั้น (ดังนั้นเวลาที่ทหารอ้างถึงความมั่นคงแห่งชาติ เราก็ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่ากำลังกล่าวถึงอะไรกันแน่)

         เราจะลองมาพิจารณากันถึงความคิดในเรื่องนี้โดยดูผ่านข้อเขียนของจอห์น ล็อก (John Locke) นักคิดต้นตำหรับเสรีนิยมประชาธิปไตย (ในหนังสือเลื่องชื่อ Second Treatise of Government)

         เพื่อหลีกเลี่ยงจากความไม่แน่นอนในสภาพแบบที่อยู่กันตามธรรมชาติ ที่ใครมีกำลังมากกว่าหรือฉลาดกว่าก็เอาตัวรอดได้ (เว้นแต่เมื่ออ่อนกำลังลงหรือกระทำพลาดไป) ที่ด้อยกว่าก็กลายเป็นเหยื่อไป มนุษย์เข้าสู่สังคมการเมือง (หรือประชาสังคม สำหรับล็อกสองคำนี้ไม่ต่างกัน) เพื่อสันติสุขและการมีประกันต่อชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สินที่ตนมีและหามาได้ มนุษย์จึงยอมสละอำนาจที่จะสนองความตั้งใจของตนในการปกป้องชีวิตเสรีภาพและทรัพย์สินของตนเองจากการรุกรานหรือทำละเมิดโดยผู้อื่น ด้วยการดิ้นรนต่อสู้กระทั่งทำร้ายฝ่ายที่ทำละเมิดจนตายได้นั้น สละไว้ให้กับชุมชนที่ตนเข้าร่วม และยอมรับกฎเกณฑ์ที่ชุมชนกำหนดขึ้น ยอมมอบอำนาจไว้กับองค์อธิปัตย์เพื่อบริหารชุมชน 

         กล่าวอีกอย่างหนึ่ง อำนาจในการออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้ในสังคมและอำนาจบริหารเพื่อปกป้องชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สินของคนในสังคมโดยที่สามารถลงโทษผู้ที่ทำละเมิดได้นั้น เป็นสิ่งที่ผู้ได้อำนาจดังกล่าวมาจากสังคมนั้นภายใต้การยอมสละซึ่งอำนาจตามธรรมชาติของแต่ละคนในการปกป้องชีวิตเสรีภาพและทรัพย์สินของตนโดยการตอบโต้ผู้ละเมิดด้วยวิธีการใดๆ ก็ได้เท่าที่เห็นว่าเหมาะสม ในแง่นี้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจึงมีอำนาจกระทำหน้าที่ของตนในฐานะองค์อธิปัตย์ได้ แต่ไม่ใช่ทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้ หรือออกกฎเกณฑ์อะไรๆ ก็ได้ การดำเนินการทางนิติบัญญัติใดๆ และการบังคับพลเมืองหรือลงโทษใดๆจักกระทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นไปโดยจุดประสงค์เพื่อพิทักษ์หลักการพื้นฐานของการเป็นประชาสังคมดังกล่าว ทั้งนี้ภายใต้การคำนึงด้วยว่าจักส่งผลที่ถูกทางได้จริง 

         ตรงนี้เอง ที่การสละอำนาจของเราในการลงโทษผู้มาทำละเมิดกับเรา การสละอำนาจการตัดสินตามใจเรานี้  ได้แลกกลับมาด้วยสิทธิของเราในการอุทธรณ์เพื่อเรียกร้องการปกป้องเราโดยรัฐ ดังนั้นในประชาสังคมจักต้องมีส่วนอำนาจซึ่งประชากรในประชาสังคมนั้นร้องเรียนเพื่อให้มีการปกป้องสิทธิของเขาไม่ให้ถูกทำละเมิด หรือนำข้อพิพาทขึ้นมาเพื่อพิจารณาได้โดยไม่ลำเอียง ในปัจจุบันเราอาจนึกถึงอำนาจศาล แต่นี่เป็นเพียงส่วนเดียว  ขอให้ดูที่จะกล่าวต่อไปนี้ก่อน

         สำหรับล็อกแล้ว  เมื่อไรก็ตามที่มีบางส่วนในสังคม  ไม่ว่าจะเป็นบุคคล (โดยอ้างสายเลือด) หรือกลุ่มบุคคลทำการละเมิดเองแล้วเราไม่อาจอุทธรณ์เอากับส่วนใดได้เพื่อให้มีการพิจารณา หรือมีการลงโทษตามพฤติกรรมที่ได้กระทำไปเมื่อสังคมนั้นไม่มีกลไกที่บังคับใช้ในกรณีเช่นนั้นได้จริง ประชาสังคมได้ถึงจุดยุติการเป็นประชาสังคมไปแล้ว และถือได้ว่ามนุษย์ได้กลับไปอยู่ในสภาวะตามธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแต่ละคนก็อาจใช้รูปแบบใดๆ เท่าที่ทำได้ในการตอบโต้เพื่อให้สมกับข้อตัดสินทางตน

         ทั้งนี้เพราะความหมายของการมีองค์อธิปัตย์และมีข้อกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อให้เป้าหมายของประชาสังคมดำรงอยู่ได้นั้นได้สูญเสียนัยสำคัญไป คนแต่ละคนจึงต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อปกป้องชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สินของตนเองเพื่อให้ความเป็นธรรมกับตนเอง ตรงนี้เองกฎของป่ากลับมามีความเหมาะสมมากกว่า

         เรากล่าวได้ว่า ภายใต้การปรับตัวเพื่ออยู่ในสังคมโลก รัฐไทยได้อ้างการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมแบบเสรี แต่เราก็ได้พบว่า ภายใต้สังคมของเรานี้ การปกป้องชีวิต เสรีภาพและความอยู่สุขของประชาชน อันเป็นหลักการพื้นฐานของสังคมเสรีนั้นเป็นไปไม่สม่ำเสมอ เราได้เห็นตั้งแต่การฆ่าประชาชนมือเปล่ากลางเมืองหลวงแล้วไม่มีผู้ต้องรับผิด มาจนถึงความพยายามนำแผ่นดินไปแจกพวกพ้องตนเองโดยใช้อำนาจในฐานะผู้กุมกลไกของรัฐ นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาเรื่องความอยู่สุขในชีวิตประจำวันในเรื่องต่างๆ นับจากการแก้ปัญหากันไปเองในเรื่องรถติด เรื่องของแพง สวัสดิภาพแรงงานไปจนถึงเรื่องความปลอดภัยจากโจรภัย มาถึงตรงนี้เราคงต้องกลับมาย้อนถามกันเองแล้วว่าทุกวันนี้เราอยู่ในประชาสังคมหรืออยู่ในสภาวะตามธรรมชาติกันแน่?
      
          
         
          
                          

No comments: