http://www.prachatai.com/05web/th/home/14578 Mon, 2008-11-24 17:38
ถ้าผมเป็นพันธมิตรจะเคลื่อนไหวอย่างไรจึงจะเป็นอารยะขัดขืนอย่างถูกต้อง?
บุญส่ง
ชัยสิงห์กานานนท์
คณะอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร
Civil Disobedience (ปัจจุบันบ้านเราเรียกกันว่าอารยะขัดขืน
ซึ่งเป็นการสร้างศัพท์ที่เป็นปัญหา ที่จริง civil ในที่นี้มีความหมายถึงด้านพลเมือง
แต่ในที่นี้จะขอข้ามไป เอาแค่นี้พอ ที่จริงเดิมเคยใช้กันว่าการดื้อแพ่ง
จะมีความหมายใกล้เคียงกว่า) คือ การอ้างสิทธิพลเมืองที่จะต่อต้านกฎหมาย The Oxford Companion to Philosophy อธิบายไว้ว่า คือ
“พฤติกรรมสาธารณะที่ผิดกฎหมาย
ที่ออกแบบมาเพื่ออุทธรณ์ต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมาย โดยไม่ปฏิเสธหลักการการปกครองด้วยกฎหมาย
ดังนั้น
มีเจตนาที่จะไม่ใช้ความรุนแรง (non-violence)
และไม่ปฏิวัติ (non-revolutionary)
เช่นเดียวกับที่มีความตั้งใจที่จะยอมรับการลงโทษโดยกฎหมาย”
โดยภาพรวม Civil Disobedience มีจุดมุ่งหมายเพื่อประท้วงความอยุติธรรมพื้นฐาน โดยยึดถือการประสบความสำเร็จอย่างมีเหคุผล
โดยไม่สร้างความสูญเสียแก่สังคม
(ส่วนอหิงสานั้น ตามมหาตมะ คานธี ผู้เป็นต้นคิด คือ ความกล้าเผชิญหน้ากับการใช้ความรุนแรงของอีกฝ่าย
โดยไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้กลับ และเมตตาแม้แต่ศัตรู)
Civil Disobedience จึงแตกต่างจาก
การประท้วงที่ถูกกฎหมาย, การไม่เชื่อฟังกฎหมายโดยใช้ความรุนแรงที่ไม่ถูกกฎหมาย, การปฏิเสธอย่างมีมโนธรรม –Passive
Obedience (คือ ตั้งใจยอมรับการลงโทษทางกฎหมาย
ยิ่งกว่าจะทำตามกฎหมายที่ไม่ยุติธรรม โดยไม่มีจุดมุ่งหมายใดที่จะเปลี่ยนแปลงกฎหมาย),
การทดสอบตัวกฎหมายว่าสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ (เช่น สงสัยว่ากฎหมายนั้นๆขัดกับรัฐธรรมนูญ
จึงฝ่าฝืนเพื่อให้เป็นประเด็นพิจารณาชี้ขาด)
โดยหลักการ Civil Disobedience มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องเสรีภาพพลเมือง
อันได้แก่ เสรีภาพในการพูด, การพิมพ์เผยแพร่, การชุมนุม
และการนับถือศาสนาหรือความเชื่อของตน
กล่าวคือปกป้องคุณค่าแบบเสรี (liberal virtues) [ถ้าเรียกร้องให้มีการเซ็นเซอร์เว็บไซต์ เป็นต้น ถือว่าไม่ใช่ Civil
Disobedience]
Ronald Dworkin (ใน A Matter of Principle) นักนิติปรัชญาคนสำคัญในปัจจุบัน ได้ตั้งคำถามว่า เราจะแยก Civil
Disobedience
จากกิจกรรมทางอาชญากรรมธรรมดาที่ถูกผลักดันโดยความเห็นแก่ตัว ความโกรธแค้น
ความหยาบช้า หรือความบ้าคลั่งอย่างไร
Dworkin อธิบายว่า Civil Disobedience
เป็นเรื่องของผู้เคลื่อนไหวทางสังคมที่ไม่ได้ท้าทายผู้มีอำนาจในวิถีทางแบบพื้นฐาน
เพราะนอกจากจะไม่ได้คิดเพื่อตัวพวกเขาเอง
และไม่ได้ถามผู้อื่นให้คิดเพื่อตัวพวกเขา ยังต้องยอมรับความชอบธรรมพื้นฐานของทั้งการปกครองและของชุมชน
และมุ่งปฏิบัติการเพื่อให้ได้ผล ในแง่ เกิดความเป็นธรรมในเรื่องที่เคลื่อนไหว
แต่ยังคงกระทำหน้าที่ของตนในฐานะพลเมืองต่อไป
(Dworkin ยังได้จัดประเภท Civil Disobedience ออกเป็น 3 แบบ จะขอข้ามไป แต่ผมจะเขียนไว้ในบทความฉบับเต็มเกี่ยวกับเรื่องนี้)
โดยสรุป Civil Disobedience ไม่ปฏิเสธหลักการการปกครองโดยเสียงของคนส่วนใหญ่
(ไม่ปฏิวัติ) และด้วยเหตุนี้จึง “เป็น Democrat โดยหัวใจ” กล่าวคือ เคลื่อนไหวโดยยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยสมัยใหม่ ซึ่งถือว่า ทุกคนเสมอภาคกันโดยศักดิ์ศรีและสิทธิ เบื้องหน้ากฎหมายทุกคนเสมอภาคกัน (หลักนิติรัฐ)
และรัฐมีไว้เพื่อปกป้องเสรีภาพและสิทธิพลเมือง
Civil Disobedience
ใช้ยุทธวิธีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในสองรูปแบบ
1.
แบบเชิญชวน
โดยการบีบคนส่วนใหญ่ให้ฟังข้อถกเถียงแย้งกฎหมายหรือโครงการของรัฐนั้นๆ โดยคาดหวังให้พวกเขาเห็นด้วยและไม่ยอมรับกฎหมายหรือโครงการของรัฐนั้นๆ
หรือมุ่งทำให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าการสนับสนุนกฎหมายหรือโครงการนั้นๆ ผิด
และไม่เป็นประโยชน์กับพวกเขาเอง
2.
แบบไม่เชิญชวน คือ
ไม่ได้มุ่งเปลี่ยนความคิดคนส่วนใหญ่ แต่ทำให้มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายในโครงการนั้นๆ
โดยคาดหวังว่าคนส่วนใหญ่จะค้นพบว่าค่าใช้จ่ายของโครงการสูงเกินกว่าจะรับได้
หรือสร้างภาระให้คนส่วนใหญ่ต้องจ่าย หากจะยังคงสนับสนุนโครงการดังกล่าวต่อไป
ถ้าพันธมิตรจะเคลื่อนไหวแบบ Civil
Disobedience จริง จะต้องทำอย่างไร?
1.
จะต้องไม่เคลื่อนไหวแบบไม่เลือกวิธีการ
เพียงแค่ขอให้ได้ชัยชนะ (ซึ่งการเมืองแบบเน้นคุณธรรมไม่มีพื้นที่ให้กับแนวทางวิธีการอะไรก็ได้ขอให้ได้ชัยชนะ)
2.
จะต้องเคารพจิตใจและวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตยพื้นฐานที่ถือว่าทุกคนเสมอภาคกันโดยศักดิ์ศรีและสิทธิ (ไม่ใช่การเมืองแบบเชิดชูเจ้า)
3.
จะต้องไม่เคลื่อนไหวโดยมีการพกพาอาวุธทุกชนิด
ไม่ว่าจะเป็นการอ้างว่าเพื่อป้องกันตนเอง หรือฝ่าด่านป้องกันของฝ่ายรัฐ
4.
จะต้องไม่เคลื่อนไหวในแนวทางแย้งสิทธิพลเมืองโดยพื้นฐาน
เช่นไม่เรียกร้องให้เซ็นเซอร์ความเห็นแย้ง หรือควบคุมการเผยแพร่ความคิดเห็นและข่าวสารของฝ่ายอื่น
5.
จะต้องไม่เคลื่อนไหวแบบใช้การเมืองแบบชี้นำฝูงชน
โดยการโฆษณาชวนเชื่อแบบปลุกระดม แต่เน้นการคิดเป็น ความมีเหตุผลที่ดี
6.
จะต้องไม่เคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนขั้วครอบครองอำนาจรัฐหรือแย่งชิงอำนาจรัฐ
แต่ทำหน้าที่ในฐานะกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อตรวจสอบอำนาจรัฐ และเตือนภัยต่อสาธารณะ
7.
จะต้องไม่เคลื่อนไหวโดยส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
หรือสร้างความเสียหายต่อสังคม
8.
ทั้งแกนนำและผู้ชุมนุมจะต้องยอมรับผลจากการเคลื่อนไหวที่ฝืนกฎหมาย
โดยยอมถูกจับและหากถูกลงโทษตามกฎหมาย ก็ยอมรับผลเช่นนั้น โดยไม่ขัดขืน
ยกตัวอย่าง พันธมิตรจะต้องไม่เอาสถาบันกษัตริย์มาอ้างเพื่อกำจัดฝ่ายอื่น
ไม่เรียกร้องให้เซ็นเซอร์เว็บไซต์ทางการเมือง
ในการชุมนุมและการเคลื่อนขบวนต้องปลดอาวุธทุกชนิด
รวมถึงไม้หรือเหล็กแท่งต่างๆ วิธีการเคลื่อนไหวจะต้องคำนึงว่าส่งผลกระทบส่วนรวมหรือไม่
(ไม่ตัดน้ำ ตัดไฟ หยุดเดินรถ ปิดสนามบิน เป็นต้น)
ตอนที่แกนนำถูกหมายจับข้อหากบฏ สิ่งที่ควรทำในตอนนั้นตามแนวทาง Civil
Disobedience ก็คือเข้ามอบตัวทุกคน และไม่ขอประกันตัว
และผู้ชุมนุมอื่นๆ ก็พากันเข้ามอบตัว รวมทั้งอาจพากันมาสมทบมอบตัวจากต่างจังหวัด
เป็นต้น จนเจ้าหน้าที่ไม่รู้จะหาสถานที่มาคุมขังได้พียงพออย่างไร และเกิดปัญหากับงบประมาณที่จะเอามาใช้ดูแลผู้ต้องขัง
ตอนที่เคลื่อนไปชุมนุมหน้ารัฐสภา (เมื่อวันที่ 7 ตุลาที่ผ่านมา หรือในวันที่ 24 พฤศจิกานี้)
ซึ่งผู้ชุมนุมทุกคนต้องไม่มีการพกสิ่งใดๆ ที่อาจใช้เป็นอาวุธติดไปด้วย อาจใช้การนั่งหรือนอนขวางที่ด้านนอกรัฐสภา
แต่จะไม่ต่อต้านเมื่อเจ้าหน้าที่มาลากตัวหรืออุ้มตัวออกไปทีละคนจนหมด
และหากมีการตั้งข้อหาก็พร้อมยอมถูกจับทุกคนและไม่ขอประกันตัว และพร้อมถูกขังคุก
ข้างต้นเป็นตัวอย่างของการเคลื่อนไหวในแนวทาง Civil
Disobedience อย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยการคิดแบบสร้างสรรค์
ไม่ใช่เคลื่อนไหวอะไรก็ได้ (และหากเป็นอหิงสา นอกจากต้องห้ามด่าฝ่ายอื่น
หรือพูดหยาบคายใส่ ยังต้องกล่าวถึงฝ่ายอื่นอย่างให้เกียรติ
โดยถือว่าต่างเป็นมนุษย์ที่มีมโนสำนึกทางคุณธรรมไม่ด้อยกว่าฝ่ายตนอีกด้วย
ดังที่คานธีได้ปฏิบัติเป็นตัวแบบ) และที่สำคัญที่สุดคือการเคลื่อนไหวโดยตระหนักตลอดเวลาว่าจะเดินในกรอบประชาธิปไตยพื้นฐาน
ไม่ใช่การมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนโครงสร้างเป็นแบบถดถอยจากประชาธิปไตย (ดังเช่น
การเชื้อเชิญทหารมามีบทบาททางการเมืองเกินหน้าที่กองกำลังป้องกันประเทศ
ซึ่งห้ามแทรกแซงทางการเมือง หรือพยายามผลักดันแนวทางการเมืองแบบถดถอยไปสู่ระบอบคัดสรรที่ให้อำนาจเฉพาะชนชั้นนำที่เรียกผิดๆ
ว่าการเมืองใหม่)
แต่หากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคิดว่าแนวทางแบบ Civil
Disobedience (รวมทั้งอหิงสา) ตามหลักการนั้นรับไม่ได้
ก็สมควรเลิกประกาศว่าตนเองเคลื่อนไหวในแนวทางดังกล่าว
“ตอนนี้อารมณ์ของมวลชนขณะนี้เหมือน ทุบหม้อข้าวมา
เหมือนยุทธการของพระเจ้าตาก แต่ไม่ใช่พระเจ้าตากที่สนามหลวง แต่ในวันที่ 23
นี้ เป็นอารยะขัดขืนขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นการยกระดับจากการชุมนุมใหญ่แต่เป็นการลุกขึ้นสู้อย่างถึงที่สุด”
(http://thaienews.blogspot.com) ตามที่สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรระบุ ไม่สามารถเข้าใจเป็นอื่นได้นอกจากเป็นสิ่งบ่งชี้ชัดถึงการด้อยความเข้าใจในเรื่อง
Civil Disobedience หากไม่ใช่การจงใจโกหกต่อสาธารณะเพื่อให้เกิดภาพพจน์ที่ดีต่อการเคลื่อนไหวของพันธมิตร
นอกจากนี้ หากพันธมิตรจะยังห้อยชื่อกลุ่มด้วยคำว่าประชาธิปไตย
ถ้าไม่ให้เป็นการโกหกประชาชน ก็จำเป็นต้องปรับหลักคิด แนวทาง
และวัฒนธรรมพื้นฐานของการเคลื่อนไหวของกลุ่มตนโดยรวมด้วย!
17:38
No comments:
Post a Comment