หมายเหตุ
บทความนี้ลงพิมพ์ครั้งแรกใน วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 29, ฉบับที่ 2-3, 2552 : 258-263.
War’s Causes
A.C. Grayling
Boonsong Chaisingkananont –Translate
โลหิตก็คือเครื่องแบบสุดหรูของเทพเจ้าแห่งสงคราม
Marlowe
การอภิปรายในเรื่องสาเหตุแห่งสงคราม -ไม่ใช่ในเรื่องของสงครามนี้หรือสงครามนั้น
ๆ แต่เกี่ยวกับปรากฏการณ์สงครามโดยภาพรวม- นั้น บางครั้งเป็นการรวบเอามารวมกันของเรื่องที่แตกต่างกันสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือชุดของการคาดเดาที่น่าสนใจเกี่ยวกับตำแหน่งแห่งที่ทางจิตวิทยาของสงครามในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แต่อีกเรื่องหนึ่ง
อันดื่มน้ำจากบ่อที่ปนเปื้อนทฤษฎีของฟรอยด์ (Freud) ก็คือเรื่องราวซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้อันปวดร้าวและเป็นที่สับสนเกี่ยวกับกำเนิดของจิตวิทยาดังกล่าวในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตามที่คาดการณ์โดยขาดหลักฐานประจักษ์แจ้งที่เพียงพอ- ซึ่ง อนิจจา โดยใช้ตรรกะแบบคิดเอาเองอย่างกล้าเสี่ยงประเภทแบบพวกมือสมัครเล่นในด้านนี้
ที่อนุมาน “สิ่งที่เป็น” จาก “บางที” หรือ “ที่เป็นไปได้”
สมมุติฐานเหล่านี้โดยตัวมันเองแล้วได้รับการสรุปขยายเกิน โดยอาศัยเศษกระดูกโบราณและเศษแท่งเครื่องมือหิน
อันประกอบกันเป็นผลสรุปของหลักฐาน ณ เวลานี้ในด้านโบราณคดี
ตามแนวคิดของฝ่ายหลังดังได้กล่าวมานี้ บรรพบุรุษของเราในยุคแรก ๆ -ซึ่งเป็นสัตว์จำพวกเลี้ยงลูกด้วยนมที่ไม่มีกล้ามเนื้อ
อันไร้ฟันแหลมคมและกรงเล็บ- ได้ตั้งต้นในตำแหน่งแห่งที่ในห่วงโซ่อาหารในสถานะเป็นเหยื่อ แม้ในเวลาต่อมาจะได้เลื่อนลำดับเป็นสถานะผู้ล่า
ก็ยังคงไม่ได้กำจัดการตกทอดในด้านเป็นเหยื่อทิ้ง กล่าวคือ
มีความตื่นตกใจยามเผชิญการคุกคาม และมีนิสัยชอบการปกป้องตนเองแบบร่วมกันเป็นกลุ่ม
อารมณ์ดังกล่าวนี้ โดยแรกสุดเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ของ ‘การต่อสู้ในยุคแรก ๆ
ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดอาจถูกกำจัดทิ้งได้โดยง่ายดาย’ ดังที่มือสมัครเล่นผู้หนึ่งนำเสนอ
อารมณ์ดังว่านี้ได้รับการส่งผ่านสู่ช่วงเป็นผู้ล่า
อารมณ์ที่ว่ากระตุ้นการปฏิบัติทางด้านศาสนา โดยหลัก ๆ ได้แก่
การบูชาด้วยเลือดมนุษย์หรือสัตว์ เมื่อฝูงสัตว์ขนาดใหญ่จำพวกมีกีบเท้าที่ถูกล่าโดยบรรพบุรุษของเราได้ลดจำนวนลง
บรรพบุรุษของเรา -อย่างน้อยพวกผู้ชาย- ก็ได้เริ่มต้นล่ากันเองแทน
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของสงคราม
แก่นหลักของทัศนะดังกล่าวนี้คือการอ้างว่าการล่าสัตว์เป็นเรื่อง “รุนแรง”
เป็นการแทนถึง “ความขัดแย้ง” ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ และให้กำเนิดศาสนาที่เน้นการบูชาด้วยเลือด
และยิ่งกว่านั้น ในการขาดโอกาสที่จะฆ่าสัตว์ (อื่น) ผลตามมาก็คือ
มนุษย์ใช้การฆ่ากันและกันเป็นการบำบัดความเบื่อหน่าย สองข้อแรกนั้นเป็นความสับสนทางมโนทัศน์
ข้อที่สามเป็นความพยายามอันอ่อนเหตุผลที่จะเชื่อมโยงระหว่างการล่าสัตว์กับสงคราม
ในขณะที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดกันมากกว่าและครอบคลุมอย่างหลากหลายระหว่างการล่าสัตว์กับกีฬา
-ดังเช่น การวิ่งแข่ง
การขว้าง และกีฬาแบบเล่นเป็นทีม (ในระหว่างมนุษย์สมัยแรก
ๆ กีฬาอาจจะเป็นวิถีที่ให้ผลและประหยัดในการฝึกฝนสำหรับและเพื่อแทนที่การล่าสัตว์
สงครามกลับบ่งชี้ถึงเรื่องของผลประโยชน์ที่เป็นจริงเป็นจังถึงขั้นเอาเดิมพันกัน อย่างไรก็ตาม ตรงนี้เป็นแค่การคาดเดาเช่นกัน)
เหนืออื่นใด
มือสมัครเล่นในด้านนี้มีใจโอนเอียงที่จะตกอยู่ภายใต้ปกรณัมแบบยุคกอธิคสมัยใหม่ที่ยึดถือว่าเลือดเป็นสัญลักษณ์อันน่ากลัวโดยเฉพาะของการต่อสู้กันและภยันตราย
แต่กระนั้นจวบจนถึงยุคอดีตอันใกล้กับยุคเรา เลือดเป็นสิ่งปกติโดยแท้ที่พบเห็นในชีวิตประจำวันของเรา
ดังเช่นที่ไก่ถูกนำมาเชือดเพื่อทำอาหารมื้อเย็น
หรือหมูที่เลี้ยงไว้ในบ้านถูกฆ่า หรือแม่ม้าคลอดลูกในคอก
ผู้คนยังคงทำไส้กรอกโดยมีเลือดประกอบบางส่วน ที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องปกติสามัญในชีวิต
(ประจำวันของเรา) เมื่อไม่นานมานี้เอง การหายไปของสิ่งเหล่านี้ในทุกวันนี้ทำให้พวกมันมีความสำคัญยิ่งที่จะใช้อธิบาย
(ภาพยนตร์ที่กำกับโดย) เควนติน ตารันติโน[1]
(Quentin Tarantino) เมื่อพิจารณาถึงเรื่องการบูชาทางศาสนา
สิ่งเหล่านั้นก็คือวิถีในการถวายเทพเจ้าโดยขอมีส่วนอ้อนวอนหรือสวดถวาย
และไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่กับการบูชาด้วยเลือดและเนื้อแต่อย่างไร ที่จริงแล้ว
บ่อยครั้งมักจะใช้พืชผักแทนด้วยซ้ำไป
มีประเด็นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์
เมื่อเราใส่ใจพิจารณาเรื่องการส่งกำลังบำรุงในการทำสงคราม
และโดยเฉพาะต่อประเด็นสำคัญที่ว่าสงครามที่มีการจัดการในวงกว้างก็คือพัฒนาการที่ให้กำเนิดกับหนึ่งในประดาความโหดร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในสมัยใหม่
กล่าวคือ ลัทธิชาตินิยม เรากำลังจะพิจารณาประเด็นทั้งสองนี้
กองทัพขนาดใหญ่และการส่งกำลังบำรุงการปฏิบัติการของกองทัพ ทำให้ต้องกำหนดโดยจำเป็นว่าต้องใช้กลไกราชการต่าง
ๆ เพื่อรวบรวมภาษีและสนับสนุนงานด้านเอกสาร อย่างน้อย นี่คือส่วนสำคัญที่สุดของเหตุผลว่าทำไมรัฐชาติสมัยใหม่จึงกำเนิดขึ้นมา เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจที่ผู้คนยอมตายเพื่อแผ่นดินพ่อ
รู้สึกหัวใจแกว่งไกวไปกับจังหวะเพลงมาร์ชมาเซยแยส (the Marseillaise) และเคารพธงประกอบด้วยรูปดาวเรียงรายของสหรัฐอเมริกา
ทั้งหมดนี้เป็นการแทนถึงนามธรรมที่นิยามมาอย่างคลุมเครือของประเภทที่กำหนดเอาเองตามอำเภอใจจริง
ๆ โดยเพื่อคลุมหน้าตรรกะของกลไกราชการและการจัดเก็บภาษี
แต่กระนั้นนี่ก็เป็นความตื่นตาตื่นใจที่เป็นโศกนาฏกรรม
สิ่งที่สำคัญเท่า ๆ กัน ได้แก่ คำถามว่าอะไรไม่เกี่ยวกับสงคราม แน่นอนว่าสงครามไม่ใช่เรื่องของอารมณ์แบบก้าวร้าว
-แม้ว่าอารมณ์แบบดังกล่าวเมื่อถูกใช้ขับดันประชากรประเทศหนึ่งใดโดยพวกนักการเมืองในประเทศนั้น
ๆ จะให้การกระตุ้นอันทรงพลังแรงกล้าในการเริ่มก่อสงครามก็ตาม ในยุคอดีต เมื่อทหารสู้รบด้วยกัน
พวกเขาต้องใช้แอลกอฮอล์หรือยาเสพติดอย่างอื่นเพื่อขับดันพวกเขาให้เกิดอารมณ์ที่สามารถฆ่าคนได้อย่างเหมาะสม ทว่าในยุคสมัยใหม่
การคาดคำนวณการณ์อย่างเยือกเย็นและการจัดการอย่างมีวิธีการกลับเป็นส่วนสำคัญ
สงครามไม่ใช่การวิวาทในร้านเหล้า
และดังนั้นจึงไม่ได้มาจากการมีระดับเทสโทสเทอโรนที่มากล้นในตัวเยาวชนเพศชายแต่ละคน มันเป็นเพียงแค่การผนวกเอามาด้วยฮอร์โมนข้างต้นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว
จุดประสงค์ดังว่ามีมากมาย ดังต่อไปนี้ กล่าวคือ มีเหตุผลโดยเฉพาะมากมายยิ่งว่าทำไมสงครามเฉพาะจึงบังเกิดขึ้น
และหากว่าเราใส่ใจกับสงครามในนามธรรมเพื่อค้นหาว่าทำไมมนุษย์ถึงจัดการกับตนเองเพื่อให้พร้อมสำหรับขับเคี่ยวกันในสงคราม
เรากำลังนำพาตัวเราเองไปผิดทาง เหตุผลมากมายที่ว่าทำไมสงครามจึงเกิดขึ้น
ยังช่วยอธิบายเหตุผลที่ว่าทำไมสงครามจึงเกิดด้วย กล่าวคือ
ไม่มีลักษณะทางจิตวิทยาเดี่ยว ๆ หนึ่งใดของมนุษยชาติ -ไม่มีสัญชาตญาณก่อนประวัติศาสตร์
ที่ลึกลับหรือเป็นพิเศษ- ซึ่งโดยตัวมันเองสามารถอธิบายความบ้าคลั่งที่ได้รับการก่อซ้ำและเกิดถี่ของสงคราม
และโดยข้อเท็จจริงที่ว่าสังคมส่วนใหญ่ที่สุดทุ่มเทสัดส่วนจำนวนมากมายของทรัพยากรของสังคมให้กับการเตรียมตัวเพื่อทำสงคราม
พวกกึ่งยึดตามแบบฟรอยด์จำนวนมากอ้างเอาว่ารู้ว่ามีอะไรอยู่ในจิตใจของมนุษยชาติที่ควรถูกประณาม
แต่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าหากเราจะถามนักเศรษฐศาสตร์และนักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องชั้นเชิงในการอธิบายเรื่องนี้
*
บทความนี้รวมอยู่ในรวมข้อเขียนของ A. C. Grayling ชุด
The Reason of Things: Living With Philosophy จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์
Weidenfeld and Nicolson (2002) ข้อเขียนชุดนี้ได้รับการตึพิมพ์ในปี
2003 ภายใต้ชื่อชุดใหม่ว่า Life,
Sex and Ideas: The Good Life Without God โดยสำนักพิมพ์ Oxford University Press
[1]
ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน
ซึ่งสร้างภาพยนตร์ในแนวหลังสมัยใหม่
และมักมีฉากเลือดนองและการใช้ความรุนแรงเป็นองค์ประกอบสำคัญในภาพยนตร์ของเขา -ผู้แปล